ตั้งแต่ตลาดคริปโตฯเข้าสู่ตลาดหมีตั้งแต่ปี 2021 ก็ส่งผลกระทบต่อ DeFi อย่างมาก เห็นได้จาก Yield ที่ลดลงอย่างหนัก ทำให้ส่งผลกระทบไปถึง TVL ลดลงตามไปด้วย สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากภาวะการเก็งกำไรที่ลดลง ทั้งจากเหตุการณ์ Blackswan ภายในต่างๆ และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่สู้ดีนัก อย่างไรก็ตาม ในปี 2024 นี้เราได้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีของ DeFi กลับมาอีกครั้ง
โดยถึงแม้ว่าภาพรวมตลาดคริปโตฯในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2024 ยังถือว่าผันผวนหนักอยู่ ปัจจัยส่วนใหญ่ที่มีผลต่อตลาดคริปโตฯก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่นิ่ง และความไม่แน่นอนที่ Fed จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปี 2024 นี้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตลาดจะดูซึมๆ ไม่ไปไหน แต่สิ่งที่ทำให้นักลงทุนประหลาดใจก็คือการที่ได้เห็น TVL ของ DeFi พุ่งทำจุดสูงสุดในรอบ 15 เดือน (สูงที่สุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022) รวมถึงการเติบโตของ Stablecoin หลายคนอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เราจะไปดูกันในบทความนี้
สถิติของ DeFi ในปี 2024
1. Total Value Locked
จากการรายงานของ DAppRadar จะเห็นว่าในเดือนพฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา TVL ของ DeFi ได้พุ่งสูงถึง 192,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022
2. DEX Volume
Volume การซื้อขายบน Decentralized Exchanges (DEX) ในปี 2024 เติบโตอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2023 โดยบางช่วงขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเท่ากับที่เคยเป็นในปี 2022 ที่ระดับประมาณ 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
3. Stablecoin Market Cap
Marketcap ของ Stablecoin เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับปี 2023 โดยปัจจุบัน Mcap รวมของ Stablecoin อยู่ที่ราว 160,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งห่างจากจุดสูงสุดในปี 2022 ที่เคยขึ้นไปถึงระดับ 190,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยห่างจากจุดสูงสุดเพียง 16%
4. Unique Address
นอกจากนี้ ในส่วนของจำนวน Address พบว่าจำนวน Wallet ที่มีการใช้งานใน DeFi ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2024 โดยในช่วงเดือนมีนาคม 2024 จำนวน Wallet ขึ้นไปถึงระดับประมาณ 6,800,000 คน ห่างจากจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน 2021 ที่เคยขึ้นไปถึง 7,500,000 คน เพียง 9%
ปัจจัยที่ส่งผลทำให้ DeFi TVL พุ่ง
1. กระแสเก็งกำไร Ethereum Spot ETF
ในช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นเดือนที่เป็นกำหนดการของ SEC ในการพิจารณาการอนุมัติ Ethereum Spot ETF โดยหลังจากที่เกิดการ Surprise ตลาดที่ทาง SEC ได้อนุมัติ Spot Ethereum ETF ซึ่งถึงแม้ว่าจะยังไม่เปิดซื้อขาย แต่ก็ทำให้เกิดแรงเก็งกำไรชั่วคราวเข้ามาซื้อเหรียญ ETH (ราคาเหรียญ ETH พุ่งในวันดังกล่าว 21%) และทำให้กิจกรรม DeFi และ Yield พุ่งสูงขึ้นตามกิจกรรมการเทรดไปด้วย
2. ราคาเหรียญหลักอย่างเช่น SOL และ ETH เพิ่มขึ้น
ซึ่งจากการรายงานของ DAppsRadar ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเติบโตของ TVL คือราคาเหรียญที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากราคาเหรียญหลักอย่าง ETH และ SOL ซึ่งเหรียญดังกล่าวมีผลต่อ TVL ค่อนข้างมาก เช่น เหรียญ ETH มี Dominance ในเดือนพฤษภาคมสูงถึง 68% (ราว 130,000 ล้านดอลลาร์) ส่วน SOL มี Dominance ที่ราว 5.7% (ราว 10,900 ล้านดอลลาร์) โดยนอกจากนี้ยังมีเหรียญ DeFi อื่นๆที่ราคาเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งล้วนมีผลต่อ TVL ทั้งสิ้น
3. กิจกรรม DeFi การเทรด Memecoin เพิ่มขึ้นบน Solana
สำหรับ Solana ที่นอกจากราคาเหรียญ SOL จะพุ่งขึ้นสูงแล้ว การใช้งาน DeFi บนเชนก็เพิ่มสูงมากจนทำให้เชน Solana มี TVL แซงหน้าเชนอย่าง Tron, BNB Chain และ Arbitrum ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 2 รองจาก Ethereum
โดยปัจจัยผลักดันการใช้งาน DeFi บน Solana ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสการเก็ง Airdrop บน Solana ที่ได้รับความนิยมต่อเนื่อง โดยกระแส Airdrop Season บน Solana ดังกล่าวได้เริ่มต้นมาจากการแจกหนึ่งใน Airdrop ก้อนใหญ่ที่สุดให้กับผู้ใช้งานจากโปรเจกต์ Jito ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Liquid Staking ทำให้มีเงินไหลเข้าไปฟาร์มแพลตฟอร์มที่ยังไม่มีเหรียญตามมา (เช่น MarginFi, Sanctum, Phantom)
นอกจากนี้ Meme Season บน Solana ก็ได้รับความนิยมสูง และมีเหรียญใหม่ๆเกิดขึ้นจำนวนมาก ส่งผลโดยตรงต่อ TVL และยังทำให้กิจกรรมการเทรดและการใช้งาน DeFi บน Solana เพิ่มขึ้นตามความนิยมดังกล่าว
4. การเติบโตของ Bitcoin Layer 2
อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลทำให้ DeFi TVL เติบโตก็คือกระแสของ Bitcoin Layer 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตัวหลักอย่าง Merlin Chain ที่ตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ก็มี TVL เติบโตต่อเนื่อง โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 2,000% ต่อเดือนเลยทีเดียว นำโดย Solv Finance ที่ทำเกี่ยวกับ Yield-Bearing Bitcoin ที่มี TVL สูงสุดบน Merlin ที่ราว 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขณะนี้แพลตฟอร์มดังกล่าวเปิดรับฝาก Wrapped Bitcoin เพื่อสะสมแต้ม “Solv Points” ที่คาดว่าน่าจะนำมาแปลงเป็น Airdrop ให้กับผู้ใช้งานในอนาคต
ส่วน Layer 2 ตัวอื่นๆนอกจาก Merlin Chain ที่ได้รับความนิยม อย่างเช่น Bitlayer, Stacks, Bouncebit, CORE ที่ถึงแม้จะมี TVL ห่างจาก Merlin ค่อนข้างเยอะ แต่ก็มีการเติบโตที่น่าจับตามองในอนาคตที่จะเข้ามารองรับการสร้าง Yield เพิ่มเติมจากการถือ Bitcoin
5. การมาของแพลตฟอร์ม Restaking และ Liquid Restaking
ในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตของแพลตฟอร์ม Restaking ที่เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้นักลงทุนสามารถนำ LSTs ไปฝากไว้ได้ เช่น EigenLayer, Karak, Simbiotic (อ่านเกี่ยวกับ EigenLayer เพิ่มเติมได้ที่นี่) ซึ่งกลุ่ม Restaking มี TVL เติบโตต่อเนื่องจนในปัจจุบันมี TVL รวมกว่า 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งนอกจาก EigenLayer แล้ว ก็ยังมีแพลตฟอร์ม Liquid Restaking ต่างๆเกิดขึ้นมามากมายที่เป็นทางเลือกนอกจากการฝากตรงกับ EigenLayer เช่น Ether.Fi, Renzo Protocol, Puffer Finance เป็นต้น ที่มีข้อดีเหนือว่าการฝากตรงกับ EigenLayer เช่น การได้รับ Incentive เพิ่มเติมจากแพลตฟอร์ม, สามารถนำไปลงทุน DeFi ต่อได้ เป็นต้น (อ่านเพิ่มเกี่ยวกับ Restaking ได้ที่นี่) โดยเช่นเดียวกันกับ Restaking กลุ่ม Liquid Restaking ก็มี TVL เติบโตต่อเนื่องจนในปัจจุบันมี TVL รวมกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว
6. การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Ton Chain
นับตั้งแต่ในช่วงต้นปีมาจนถึงเดือนมิถุนายน 2024 TVL ของ Ton Chain ซึ่งเป็นเชนที่เปิดให้ใช้งานบล็อคเชนและสร้าง Ecosystem ผ่าน Telegram ก็ได้เติบโตมากกว่า 4,200% จาก 13.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 587 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ จากการรายงานของ Delphi Digital นั้น Ton Chain ได้มีจำนวน Daily Active Address แซงหน้า Ethereum แล้วในบางช่วงของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2024
7. การเติบโตของ Hyperliquid
Hyperliquid ที่เป็นบล็อคเชน Layer 1 สำหรับการเทรด Perp และ Spot โดยเฉพาะ มีการเติบโตของ TVL อย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 เป็นต้นมา โดยปัจจุบันมี TVL สูงถึง 492 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุส่วนหนึ่งของการเติบโตมาจากการสะสมแต้มเพื่อลุ้น Airdrop ของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ Hyperliquidd ยังเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่หลายๆคนยอมรับว่าใช้งานง่ายสำหรับการเทรด และยังมีคู่เหรียญให้เทรดได้จำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่ง
8. การเติบโตของ Base
Base ถือเป็นหนึ่งในเชน Ethereum Layer 2 ที่มีการเติบโตของ TVL สูงที่สุดในปี 2024 โดย Base มีการเติบโตราว 270% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี โดยถ้าเทียบกับเชน Ethereum Layer 2 ตัวอื่นๆทั้งหมด ปัจจุบัน Base จัดอยู่ในอันดับที่ 3 รองจาก Arbitrum และ Blast
9. การเติบโตของ Stablecoin USDe Ethena และ Blackrock BUIDL
จากที่แสดงในสถิติในพาร์ทแรกของบทความ จะเห็นว่าในปี 2024 MCap ของ Stablecoin เติบโตขึ้นเทียบกับต้นปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 25% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก USDe Stablecoin จากแพลตฟอร์ม Ethena ที่เติบโตกว่า 300% จาก 85 ล้านดอลลาร์ในเดือนมกราคม 2024 มาอยู่ที่ 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมิถุนายน 2024 (เติบโตกว่า 310%)
ส่วน Blackrock USD นับตั้งแต่ทาง Blackrock เปิดตัวกองทุน Blackrock BUIDL ในเดือนมีนาคม 2024 ที่เป็น Tokenized US Treasury Bond บน Ethereum (แทนมูลค่าด้วยเหรียญ BUIDL) ในปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าสูงถึง 462 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว
สรุป
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2024 นี้เราได้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีของ DeFi กลับมาอีกครั้ง โดย TVL ของ DeFi พุ่งทำจุดสูงสุดในรอบ 15 เดือนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งนอกจาก TVL จะเติบโตแล้ว เรายังเห็นว่า DEX Volume, Unique Address และ Stablecoin MCap เติบโตด้วย ซึ่งทั้งหมดก็มาจากหลายปัจจัยที่ได้นำเสนอไปในบทความนี้
โดยถึงแม้จะมีหลายปัจจัยประกอบกัน ปัจจัยที่มีผลมากที่สุดก็คือ DeFi จากเชน Ethereum รวมถึงมีการเพิ่มขึ้นของราคาเหรียญ ETH อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการเก็งกำไรจากกระแสการอนุมัติ Ethereum Spot ETF
ซึ่งแม้ว่าโดยรวมจะมาจากแรงเก็งกำไร และปัจจัยชั่วคราว แต่เราก็ได้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีหลายอย่าง ที่อาจเป็นจุดตั้งต้นของการกลับมาของ DeFi อีกครั้งได้