Search
Close this search box.

เจาะลึก Friend.tech ผู้บุกเบิกกระแส SocialFi

Share :
Artboard 1

Table of Contents

จากหลายๆโพสต์บน X (Twitter) ในช่วงนี้ในวงการคริปโตทั้งไทยและต่างประเทศมักจะมีการพูดถึงแพลตฟอร์มอย่าง Friend.tech กันพอสมควร ซึ่งไม่นานมานี้ทางทีมก็ได้ปล่อยเธรตเกี่ยวกับแพลตฟอร์มและดราม่าคร่าวๆของโปรเจค และบทความนี้จะพามาเจาะลึกกับโปรเจคกันว่าเป็นยังไงและมีกาวอะไรไหม

เกี่ยวกับ Friend.tech

Friend.tech อยู่บนเชน BASE เป็นเชน Layer-2 ของ Coinbase โดยเป็นแพลตฟอร์มที่ก่อให้เกิดคำนิยามใหม่ในวงการคริปโตนั่นก็คือ SocialFi (Social Media Finance) โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถสร้าง Profile ด้วยการเชื่อมต่อกับ X (Twitter) Account แต่สิ่งที่ต่างออกไปจาก Social WEB3.0 ตัวอื่นๆคือระบบ Key และ Group Chat ซึ่งหลายคนอ่านถึงตรงนี้ก็เริ่มจะงงๆ เพราะคอนเซ็ปต์นั้นค่อนข้างแหวกพอสมควร

ระบบและการใช้งาน

ระบบการใช้งาน เริ่มจากระบบ Key และ Group Chat จะเป็นดังนี้คือ 1 Profile ที่สร้างนั้นจะมี Key ประจำของทุกๆ Profile เปรียบเสมือนหุ้นของ Profile นั้นๆ ซึ่งราคาของหุ้น (Key) จะแพงขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนที่มีคนมาซื้อเป็นสมการดังนี้ โดยราคาจะเริ่มจาก 0 และเจ้าของจำเป็นต้องซื้อ Key แรกของ Profile ตัวเอง 

ทุกการซื้อขาย Keys ของ Profiles นั้นๆ จะถูกหักค่า Fees 10% โดยจะแบ่งให้กับเจ้าของ Profiles นั้นๆ 5% และเจ้าของแพลตฟอร์มอีก 5% ในทุกธุรกรรม ทำให้ Users สามารถได้รับ Capital Gain จากราคาของ Key ตัวเองและยังได้รับส่วนแบ่ง (Fees) จากการซื้อขาย Keys ของเรา 

*ปล.Share เป็นคำเรียกเก่า ปัจจุบันแพลตฟอร์มใช้คำว่า Key แทนคำว่า Share

“ Price in ETH = supply ^ 2 / 16000 ”

ขอบคุณภาพจาก https://www.asxn.xyz/p/friendtech

ถ้าซื้อ Key แล้วได้อะไร ? พอถึงจุดนี้หลายคนคงสงสัยว่าอะไรเป็นเหตุผลที่คนต้องมาซื้อ Key นั่นก็เป็นเพราะ

1.ระบบ Private Group Chat 

เมื่อเราซื้อ Key ของ Profile คนที่เราชื่นชอบก็จะมีสิทธิ์เข้าไปคุยใน Private Group Chat โดยแต่ละคนมีจุดขายที่ต่างกันคือ แชร์บทวิเคราะห์ ใบ้เหรียญกาว และข่าววงใน ซึ่งก็เป็นปัจจัยให้คนอยากจะไปซื้อ Key ของคนดังๆเก่งๆและมีชื่อเสียงเรื่องกาวเหรียญในวงการ เพื่อที่จะเข้าถึงข่าววงใน แต่ก็มีดารา Onlyfans บางคนมาคนมาสร้าง Profile และดึงดูดให้คนมาซื้อเพื่อหวังว่าจะมี Content สุด Exclusive

2.เก็งกำไร (Speculate)

ณ ปัจจุบันคนมักจะเข้าไปเกร็งกำไร Key ของ Profile คนดังที่มาจาก X (Twitter) ซะส่วนใหญ่ โดยอาศัยความ Hype ในการปั่นราคาไปเรื่อยๆยิ่งดังคนยิ่งปั่นสูง

การใช้งาน

ปัจจุบันนั้นตัวแพลตฟอร์มใช้ได้เฉพาะบนมือถือเท่านั้น ให้ทำการ Add To Home Screen ตามขั้นตอนในเว็บไซต์ https://www.friend.tech/ โดยการใช้งานจำเป็นต้องมี Invite Code ใครสนใจหาจาก Twitter #friendtech ได้เลยครับ

พอเราใส่โค้ดต่างๆเราก็เชื่อมต่อกับ X (Twitter) และเราจะได้ Wallet อันใหม่มาซึ่งสร้างโดย friend.tech โดยจะต้องใช้งานแพลตฟอร์มผ่านกระเป๋านั้นเท่านั้น ซึ่งเบื้องต้นเราก็จะได้เลข Address มาให้ทำการโอน ETH บนเชน BASE เข้ามาฝากที่ Wallet ดังกล่าวจึงจะสามารถใช้งานได้

ซึ่งหลังจากที่เราทำการ Deposit ETH จำนวนนึงก็สามารถ Search ชื่อของคนที่เราอยากจะตามหรือรู้จักได้ เพื่อซื้อ Key ในการเก็งกำไรหรือเข้ากลุ่ม Private Group Chat โดยเราสามารถทำการ Deposit ETH หรือ Withdraw ETH และยังสามารถ Export Private Key ของกระเป๋าดังกล่าวได้

ประวัติของทีม

จากข้อมูลปัจจุบันนั้นทีมดูเหมือนจะมี founders หลักๆอยู่สองคนคือ

1.Racer (0xRacerAlt)

2.shrimp (@shrimppepe)

โดยทางทีม Research ได้เคยทำเธรตเล่าถึงประเด็น ความน่าเชื่อถือของ Founders ทั้งสองในด้านลบที่ในอดีตนั้นเคยทำโปรเจคที่ชื่อว่า @KosettoisKawaii ซึ่งเป็นโปรเจคเกี่ยวกับ Wearable NFT Stickers ที่ได้สร้างกิจกรรมและก่อกระแสให้คนมา Hype กัน และจู่ๆก็ทิ้งโปรเจกต์ไปดื้อโดยไม่ทราบสาเหตุ 

ทำให้เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นชื่อเสียงด้านลบต่อ Founders ทั้งสองพอสมควร สามารถตามอ่านดราม่าได้ที่เธรตนี้เลยเป็นการแปลเธรตจาก CT ต่างประเทศ และวิเคราะห์ข่าวเหตุการณ์ในเคสดังกล่าว

Performance ของแพลตฟอร์ม

หลักๆแล้วแพลตฟอร์มออกแบบ Business Model ซึ่งมีรายได้จากการซื้อขาย Key (Share) ของ Users โดยจะหักค่า Fees 10% ของราคาซื้อขาย และแบ่งส่วนนึงของ Fees ครึ่งนึงให้กับเจ้าของ Profile ของ Key นั้นๆและอีกส่วนก็จะเข้าสู่แพลตฟอร์ม

On-chain Stats

ขอบคุณภาพจาก dune.com/cryptokoryo และ Artemis.xyz

และในส่วนนี้เราจะมาเจาะในด้านของ On-chain Stats เพื่อดูว่าแพลตฟอร์มนี้มี Performance ยังไงบ้างโดยเริ่มที่

1.Total Protocol Fees อยู่ที่ราว $3.5M และแพลตฟอร์มมีอายุราว 14 วันถ้าลองหาค่าเฉลี่ยต่อว่านั้น

“Friend.tech มี Fees ต่อวันอยู่ที่เฉลี่ย $251K ต่อวัน”

โดยถ้าเรานำมาเทียบ Fees กับแพลตฟอร์มอื่นนั้นถือว่า Friend.tech มีรายได้ที่มากกว่า BNB Smart Chain, Aave, MakerDao และ GMX และเป็นรองจากเพียงแค่ Bitcoin ตามภาพด้านล่าง โดยอิงข้อมูลเมื่อวันที่ 24 Aug 2024

2.Total Buy/Sell Volume โดยแพลตฟอร์มมี Total Buy Volume อยู่ที่ $38.1M และมี Total Sell Volume อยู่ที่ $32.5M รวมเป็นทั้งหมดคิดเป็น $70.6M และคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ $5M ต่อวันเลยทีเดียว

3.และสุดท้าย Number of Unique Subjects ซึ่งเราจะอนุมานได้ว่า Subjects นั้น = Profiles นั้นก็สรุปได้ว่าตอนนี้มี Number of Unique Profiles กว่า 112,236 Profiles เลยทีเดียว ซึ่งถ้าเรามาคิดต่อจะเห็นได้ว่าหนึ่ง Profile นั้นจะสร้าง Volume เฉลี่ยอยู่ที่  $629 และ Fees เฉลี่ยอยู่ที่ $31 ต่อหนึ่ง Profile

Transactions

และต่อมานั้นจะเห็นได้ว่า Stats ข้างต้นนั้นแพล็ตฟอร์มค่อนข้างโตเร็วมากทั้ง Fees และ Volume ที่เยอะกว่า Dex ตัวอื่นๆในช่วงนี้ ซึ่งก็จะสอดคล้องไปกับจำนวน Transactions ที่เติบโตจนมีธุรกรรมสะสมอยู่ที่ 2.06M ธุรกรรมหรือคิดเป็นเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 147,142 ธุรกรรมต่อวัน ซึ่งแน่นอนว่าด้วยการเติบโตขนาดนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพใหญ่ของเชน BASE แน่นอน

Base Ecosystem

ขอบคุณภาพจาก dune.com/cryptokoryo และ Artemis.xyz

ภาพดังกล่าวจะแสดงให้เห็นว่าจำนวน Transactions ของ Friend.tech นั้นไปในมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับ Base Transaction หรือก็สามารถอนุมานได้ว่าการเติบโตของ Friend.tech นั้นส่งผลกระทบไปยังภาพใหญ่สู่ Base Ecosystem อย่างมีนัยสำคัญ

จากข้อมูลของ Nansen ในช่วงย้อนหลัง 7 วันนั้น Users และ Transactions บน Base ส่วนใหญ่นั้นมาจาก Friend.tech ซึ่งก็เป็นไปตามที่เราอนุมานไปก่อนหน้านี้ว่าการเติบโตของ Friend.tech นั้นส่งผลกระทบต่อ Base Ecosystem ในภาพใหญ่ระยะสั้นจริงๆ

ปัจจุบัน Base มี Total Transactions อยู่ที่ 17.13M ธุรกรรม และ Friend.tech นั้นมี Total Transactions อยู่ที่ 2.06M ธุรกรรม หรือคิดเป็น 12.02% เลยทีเดียว แต่ถ้านับเฉพาะในช่วง 14 วันนี้ที่ Friend.tech นั้นดำเนินการมาจะคิดเป็น 2.06/9.92*100 = ภายใน 14D friend.tech ถือว่ามี Transactions เป็น 20.77% ของ Total Base Transactions 14D เลยทีเดียว

วิเคราะห์

จากข้อมูลข้างต้นนั้นปฎิเสธไม่ได้ว่ากระแสของ friend.tech นั้นมาแรงจริงหากดูจาก Stats จะเห็นว่ามี Volume อย่างมหาศาลสื่อให้เห็นถึงการ Speculate ที่หนักหน่วง 

แล้วแค่จุดขายในการ Speculate Profile Keys และ Private Group Chat นั้นทำให้ดึง Users ได้ขนาดนี้เลยหรอ ? ส่วนตัวผมมองว่าอีกปัจจัยสำคัญนั้นก็เป็นในเรื่องของโอกาสแจก Airdrop เนื่องจากมีข่าวว่าได้รับการระดมทุนจาก Paradigm ที่ถือว่าเป็น VC ระดับ Tier 1 เลยทีเดียว

โอกาสในการแจก Airdrop

ตัวแพลตฟอร์มนั้นมีเมนูในส่วนของแต้มจากการ Invite คน โดยทุกวันศุกร์เราจะได้ Code เพิ่มในการ Invite ซึ่งยิ่งชวนเยอะยิ่งได้แต้มเยอะ บวกกับทีมได้รับการทุนจาก Paradigm ส่วนตัวจึงมองว่าก็มีโอกาสที่จะแจก Airdrop พอสมควร

เหตุผลในการมีเหรียญ $friend

1.เป็นอีกหนึ่งสกุลเงินในการซื้อขาย Keys นอกจาก $ETH

2.สามารถทำเป็นระบบ DAO ได้ และคาดว่าจะเป็น DAO ที่สามารถโกยรายได้ในระยะสั้นเข้าสู่ Treasury และนำเงินดังกล่าวไปต่อยอด

3.หรือจะทำเป็น Real Yields $friend Staking ก็ได้ เพราะ Fees ก็ค่อนข้างสูง

4.Paradigm อาจให้ทุนเพื่อหวังออกเหรียญในการเป็น Exit Liquidity

ข้อดีและข้อเสีย

Friend.tech นั้นก็เป็นแพลตฟอร์มที่ถือว่าแปลกใหม่และกระแสแรงมากในช่วงนี้ ต่อไปจะพาไปดูว่ามีข้อดีข้อเสียยังไงบ้าง

ข้อดี

  1. คนสามารถแปลง Network มาเป็นมูลค่าเงินจากคนที่ตามมาซื้อ Profile Keys ของเรา
  2. การมี Private Group Chat เป็นจุดขายในการออกแบบสิทธิพิเศษได้อย่างอิสระบนโลก Web3 เช่น แชร์ความรู้และเหรียญ Hidden Gems เป็นคอนเท้นแบบ Exclusive
  3. มีรายได้ตลอดทั้งคนที่ซื้อและขาย Keys ของ Profile เรา
  4. อีกหนึ่งตลาดในการเก็งกำไร

ข้อเสีย

  1. ประวัติทีมที่ไม่ดีนัก เคยทิ้งโปรเจกต์ Kosetto ไปอย่างดื้อๆ
  2. ความเสี่ยงในด้านของ Private Key ที่เราไม่ได้เป็นคน Generate เอง
  3. แพลตฟอร์มยังไม่สมบูรณ์ มีอาการบัคและช้า
  4. โมเดลยังไม่ค่อยยั่งยืน จากการเก็งกำไรอย่างหนัก
  5. รายย่อยไม่สามารถเข้าถึง Profiles คนดังได้
  6. มี Upside ที่จำกัดในการเก็งกำไร Profile
  7. Web2 Social Media เดิมอย่าง Onlyfans และ Telegram Private Chat ก็ทำได้ดีอยู่แล้วลื่นกว่าและสเถียรกว่า เลยคิดว่าเกิด Network Effect ยากในระยะยาว

สรุป

แพลตฟอร์มนี้ก็ถือว่าสร้างคำนิยามใหม่คือ SocialFi ที่ถือว่าติดตลาดไปแล้วจากการดู Stats ต่างๆ และช่วยทำให้ภาพรวม Base Ecosystem นั้นดูดีขึ้นมาได้ มีการเก็งกำไรอย่างหนักและที่สำคัญยังเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่คนก็แห่มาล่าแอรดรอปกันอย่างหนัก จึงสันนิษฐานได้ว่าจนกว่าจะปล่อย Airdrop จะยังมีคนใช้งานอยู่เรื่อยๆ

แต่ด้วยความที่เป็นโปรเจกต์ใหม่เปิดได้ไม่นาน ประวัติทีมไม่ดีนัก คนแห่เข้าไปเก็งกำไรและ Airdrop และยังมีความเสี่ยงของ Private Key ที่อาจจะถูก Hack ได้ ส่วนตัวจึงไม่แนะนำให้ลงเงินก้อนใหญ่ไปกับแพลตฟอร์มเพราะค่อนข่างเสี่ยงมากๆ บวกกับนี่ก็อาจจะเป็นจุด Peak ของกระแสแล้วก็ได้ก่อนจะหายไป ไม่มีใครตอบได้แต่ที่แน่ๆคือถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีความเสี่ยงสูงพอสมควร

Author

Share :
Related
CoinTalk (26/4/2024): ได้เวลากลับไปทำงานประจำ
เข้าสู่ยุคใหม่ของ Bitcoin ? พาส่อง Bitcoin Ecosystem ปี 2024 
Cryptomind Monthly Outlook (April 2024)
Technical Analysis $PENDLE, $BNB โดย Cryptomind Advisory (22 Apr 24)