*ข้อมูลระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2023 – 12 มกราคม 2024
สรุปข่าวเด่น
ค่าเงินบาท: DXY FALLING
ค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวน ในกรอบ 34.22 – 35.29 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ โดย ณ ปัจจุบัน อัตราการแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ไทยบาทมีโอกาสที่แข็งค่าได้ถึง 34.22 บาทต่อดอลล่าร์หรือต่ำกว่าในเร็วๆนี้ โดยมี 3 ปัจจัยคอยจับตามองดังนี้
1. DXY ดัชนีดอลล่าร์ที่กำลังอ่อนค่าลงเรื่อยๆ: จากข้อมูลการเคลื่อนไหวของ DXY รูปทางขวามือจะเห็นได้ว่าการขยับตัวของดอลล่าร์นั้น เริ่มผ่อนแรงลงและขึ้นไปทดสอบแนวต้านบริเวณ102.6 และคาดการณ์ DXY สามารถลดลงได้ถึง 100 หากยังอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
2. CPI ของไทยที่ติดลบติดต่อกัน 4 เดือน : ตัวเลข CPI ล่าสุดที่ผ่านมาของประเทศไทย อยู่ที่ -0.83%(ธ.ค) ซึ่งติดลบติดต่อกัน 4 เดือน ทำให็คาดการณ์ว่ามีโอกาสที่รัฐบาลจะใช้นโยบายเศรษฐกิจต่างๆในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการท่องเที่ยวที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น3. อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ: เนื่องจากในปีนี้มีการคาดการณ์ว่าจะมีลดอัตราดอกเบี้ยลง ทำให้มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นหันไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ทำให้ไทยอาจจะมีกระแสเงินสดจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น
Macroeconomics: DEC CPI
ในเดือนธันวาคมทั้ง Headline CPI รายเดือนและอัตราเงินเฟ้อในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย โดย Headline CPI (all items index) เพิ่มขึ้น 3.4% และ Core CPI (all items less food and energy index) เพิ่มขึ้น 3.9% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีที่พักอาศัย (Shelter Index) เป็นปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเพิ่มขึ้นของ Core CPI โดย Shelter Index เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนธันวาคมและคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของ Core CPI ที่เพิ่มขึ้น ในปี 2023 ค่าใช้จ่ายด้านที่พักพิงเพิ่มขึ้น 6.2% หรือประมาณสองในสามของการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก Headline CPI ของปี 2023 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 0.2% (forecast: 3.2%) และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2023 ที่ CPI ทั้งรายเดือนและรายปีสูงกว่าที่คาดไว้ ทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้น ที่ FED จะรักษาอัตราดอกเบี้ยให้คงที่ในการประชุม FOMC ครั้งต่อไปในวันที่ 31 มกราคม ในขณะที่ความน่าจะเป็นที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นจาก 62.26% ในสัปดาห์ที่แล้วเป็น 68.1% ณ ตอนนี้ ดังนั้นในระยะสั้นนักวิเคราะห์ยังมองว่าตลาดคริปโตฯ จึงมีโอกาสปรับฐานจากความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อ ซึ่งก็อาจเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสมสำหรับเพราะในระยะยาวที่นักวิเคราะห์ยังคงมุมมองบวก
สภาวะตลาด DeFi โดยรวม
ภาพรวมตลาดคริปโตฯตั้งแต่ต้นปี 2024 ราคาปรับตัวขึ้นมาพอสมควร โดยตอนนี้อยู่ในช่วงไซด์เวย์ ปัจจัยลบที่กดดันตลาดเล็กน้อยก็มาจากเศรษฐกิจมหภาคที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดเล็กน้อย ส่วนปัจจัยบวกภายในก็หนีไม่พ้น Bitcoin ETF ที่ผ่านการอนุมัติแล้ว รวมถึง Bitcoin Halving ที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้
สำหรับตลาด DeFi ภาพรวม DeFi TVL เพิ่มขึ้นมากว่า 14% เทียบกับเดือนที่ผ่านมา โดย เชน Solana ปรับเพิ่มมากที่สุดที่ 53% โดยคาดว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่ราคาเหรียญ SOL ปรับตัวขึ้น รวมถึงกระแสการล่า Airdrop บนเชน Solana ที่กลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนคริปโตฯเป็นอย่างยิ่ง นอกจากเชน Solana แล้ว นักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยที่ขับเคลื่อน DeFi ในตอนนี้ก็คือการล่า Airdrop บนเชนต่างๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเชน Layer 2 ต่างๆอย่างเช่น zkSync, Manta, Scroll, Mantle, Linea เป็นต้น โดย TVL ของเชน Manta เติบโตโดดเด่นมากถึง 2,700% ในเดือนที่ผ่านมา
ปัจจัยบวกต่อไปที่จะขับเคลื่อน DeFi ต่อไปที่ตลาดจับตารอก็คือการอนุมัติ Ethereum ETF รวมถึงการอัปเกรด EIP 4844 ที่คาดว่าจะมาในเร็วๆนี้เช่นกัน ทำให้นักวิเคราะห์มองว่ากลุ่ม Ethereum และบรรดา Layer 2 จะได้รับประโยชน์เพิ่มอีก
นอกจากนี้กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Ethereum และ Layer 2 ที่ได้รับความสนใจอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมาก็คือ Modular Blockchain และ Restaking อย่างเช่น Celestia และ EigenLayer เป็นต้น
Bitcoin ETF ผ่านแล้ว สถานการณ์จะเป็นยังไงต่อ?
เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2024 ที่ผ่านมา การขอยื่นเปิด Spot Bitcoin ETF ของทั้ง 11 บริษัท ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการโดย ก.ล.ต. ของสหรัฐฯเรียบร้อยแล้ว โดย ETF ดังกล่าวนี้ได้มีการพยายามขออนุมัติโดย Grayscale มาก่อนหน้านี้หลายปีแต่ ก.ล.ต.สหรัฐฯก็ปฏิเสธมาโดยตลอดจน BlackRock ที่เป็น Asset Manager ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย AUM มากกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเข้ามาร่วมยื่นขอเปิด ETF ดังกล่าวเมื่อช่วงกลางปี 2023 และให้หลังประมาณ 6 เดือนก็ได้รับการอนุมัติเป็นที่เรียบร้อย
ก่อนหน้านี้ Bitcoin ส่วนใหญ่ได้ถูกซื้อขายโดยนักลงทุนรายย่อยมาโดยตลอด แต่การมาของ Spot Bitcoin ETF จะทำให้สถาบันการเงินที่อยากทำกองทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงมาที่ BTC หรือบริษัทต่างๆ ที่อยากถือ Bitcoin สามารถทำได้ง่ายขึ้น หรือแม้กระทั่งนักลงทุนในตลาดหุ้นเดิมที่อยากมี Exposure ใน Bitcoin ก็สามารถเข้าถึงโอกาสนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการจัดเก็บ Bitcoin เพราะพวกเขาสามารถซื้อขายผ่านบัญชีหุ้นเดิมที่มีอยู่แล้วได้เลย
นอกจากนี้ด้วยความที่เป็น ETF นั้นจะทำให้บริษัทหรือกองทุนต่างๆ สามารถจัดการเรื่องบัญชี ภาษี และเอกสารได้ง่ายขึ้นมากกว่าการซื้อขาย Bitcoin โดยตรง และสุดท้ายคือความน่าเชื่อที่ผู้ออก ETF ต่างๆก็มีชื่อเสียงใน Traditional Finance มายาวนาน ก็ทำให้การซื้อขาย ETF ของบริษัทเหล่านี้ก็อาจทำให้สบายใจได้มากกว่าการซื้อและถือไว้ใน Centralized Exchange ที่มีโอกาสล้มได้มากกว่า
ทางเราเชื่อว่าในระยะยาวเงินจะค่อยๆ ไหลเข้ามาที่ Bitcoin มากขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งในช่วงแรกผู้ออก ETF หลายๆ เจ้าก็มี Promotion ลดค่าธรรมเนียมเพื่อดึงดูดเม็ดเงินให้เข้ามาด้วย ซึ่งความสนใจของ Spot Bitcoin ETF ในวันแรกที่เปิดซื้อขายก็เรียกได้ว่ามากพอสมควรโดยมีปริมาณการซื้อขายรวมแล้วกว่า 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ยุคของ Layer 2 มาถึงแล้ว?
เหตุการณ์ที่น่าสนใจสำหรับปี 2024 นอกจากเรื่องการประกาศอนุมัติ Bitcoin Spot ETF แล้ว ก็คงหนีไม่พ้นการอัปเกรด Proto-Danksharding หรือ EIP-4844 ที่จะช่วยให้ค่าธรรมเนียมบน Layer 2 ถูกลงกว่าเดิม 10-100 เท่าในอุดมคติ ซึ่งตอนนี้ได้เริ่มขั้นตอน Testnet บนเครือข่าย Goerli เป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา และคาดว่าจะ Official บน Mainnet อย่างเป็นทางการช่วงไตรมาส 2 ในปีนี้
โดย Layer 2 ที่น่าจับตามองในปีนี้ ที่มี On-chain Stats ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ Arbitrum และ Optimism และ Layer 2 น้องใหม่ตัวอื่นๆไม่ว่าจะเป็น Blast หรือ Manta Pacific ที่มีแคมเปญฝาก ETH/Stablecoin เพื่อลุ้นรับ Airdrop ก็มี Community ให้ความสนใจไม่ใช่น้อย โดยระยะเวลาเพียง 2 เดือนทั้งสองตัวนี้ก็มี TVL รวมกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเลยทีเดียว รวมไปถึง Layer 2 Mid/Small Cap ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ Metis Andromeda โดยหลังจากประกาศ Ecosystem Fund จำนวนกว่า 4.6 ล้าน METIS ก็ทำให้ราคาพุ่งขึ้นสูงกว่า ~300% นับตั้งแต่ต้นปี 2024
รวมไปถึงโปรเจกต์ตระกูล zkRollups อย่าง zkSync, Linea, Scroll และ Polygon zkEVM ก็ต่างได้รับความสนใจเช่นเดียวกัน โดยทั้งสี่โปรเจกต์นี้ต่างมี TVL ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิด Mainnet เลยทีเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์ว่าแต่ละโปรเจกต์จะเข้าสู่ Phase Decentralized และมีการแจก Governance Token ให้กับ Community ภายในปีนี้
จากความน่าสนใจทั้งหมดนี้ จึงทำให้ TVL รวมของ Layer 2 เติบโตขึ้นจนทำ All Time High ใหม่ได้เรื่อยๆท่ามกลางตลาดหมีที่ยาวนานถึง 2 ปีในโลกคริปโต
อนาคตของ Celestia – Modular Blockchain ตัวแรก
หลังจากที่ Celestia ได้ประกาศแจก Airdrop ไปเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2023 ซึ่งถือว่าเป็น Modular Blockchain ตัวแรกของโลกคริปโตฯ ซึ่งช่วยปลุกกระแส Modular Blockchain และเหล่าบรรดา Layer 1 ต่างๆของฝั่ง Cosmos เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง
โดยหลังจากที่เปิดตัวเหรียญ $TIA ก็เริ่มมีการแจก Airdrop ให้กับคนที่ Staked เหรียญ $TIA ด้วยเช่นกัน โดยหนึ่งในโปรเจกต์ที่น่าจับตามองจากการแจก Airdrop ครั้งนี้เป็นอย่างมากนั้นก็คือ Dymension ที่มี Concept ให้การสร้าง App-chain แต่จะเรียกว่า “RollApps”
Dymension มี Concept คล้ายๆกับตัว Rollups ของฝั่ง Ethereum โดย Developer สามารถนำ Dymension RDK (RollApp Development Kit) ซึ่งสร้างมาจาก Cosmos SDK เอามาสร้างเป็น RollApps บน Dymension ได้ ซึ่ง App-chain ที่มาสร้างบน Dymension จะทำหน้าที่เป็น Execution Layer เพียงอย่างเดียว แล้วจะใช้ Dymension Hub เป็น Settlement และ Consensus Layer ซึ่งเป็น Delegated Proof-of-Stake Blockchain เป็นตัวกลางในการสื่อสารกันระหว่าง RollApps
ซึ่งการแจก Airdrop ของ Dymension นักวิเคราะห์มองว่าเป็นจุดเริ่มเท่านั้น และโปรเจกต์ที่มาใช้ Celestia น่าจะตามมาอีกมากในปีนี้ ซึ่งก็จะเป็นผลประโยชน์ต่อผู้ Stake เหรียญ $TIA
เปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรระยะสั้นและการฟาร์ม Stablecoin
ผลตอบแทนที่ได้จากพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นสหรัฐ (Treasury Bills) แบบระยะสั้น 3 เดือน ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีสภาพคล่องและผลตอบแทนสูง ที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนสูงขึ้นต่อเนื่องจากความกังวล Recession โดยปัจจุบันผลตอบแทนเริ่มลดลงเล็กน้อยตอนนี้อยู่เฉลี่ยปีละ 5.23% ส่วนผลตอบแทนจากการฟาร์มหรือปล่อยกู้ Stablecoin บนแพลตฟอร์มต่างๆในช่วงนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยลดลงจากเดือนก่อนเล็กน้อยอยู่ที่ 8.19 %
โดยผลตอบแทนฟาร์มและปล่อยกู้ Stablecoin ในเดือนธันวาคม-มกราคมเพิ่มขึ้นมาจากเดือนก่อนๆอย่างมีนัยสำคัญ เป็นเพราะว่าสภาวะตลาด คริปโตฯ และ DeFi กลับมาคึกคักมากขึ้น ทำให้ธุรกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยนและราคาเหรียญที่แจกเป็น Incentive เพิ่มขึ้น
เปรียบเทียบผลตอบแทน DeFi Farming บนบล็อกเชนต่างๆ
สภาวะตลาด NFT
- สภาวะตลาด NFT ในเดือนที่ผ่านมา เป็นเดือนที่ Volume ของตลาด NFT คึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั้งในแง่ของ Volume และจำนวนผู้ใช้งานในทุกๆเชน โดยเฉพาะ Solana ที่ Volume และจำนวนผู้ใช้งานสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญและมีตัวเลขที่สูงกว่า Ethereum ด้วยในหลายๆวันในเดือนที่ผ่านมา เป็นหนึ่งใน Metric ที่ทำให้ Solana น่าจับตามองด้วย Metric ที่แข่งขันได้แม้กระทั่ง Ethereum
ใน Cycle นี้ ด้วยทิศทางของผู้ใช้งานและค่าแก๊สที่ยังถูก อาจจะทำให้ Solana NFT ครอบครองตลาด NFT ได้ในระดับหนึ่งจนกว่าที่การใช้งาน NFT บน Layer 2 จะชัดเจนกว่านี้ - Bitcoin (Inscription) เป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นกระแสใหญ่ในตลาดคริปโตและ NFT ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ในเดือนนี้เพิ่ม Data ของ Bitcoin เข้าไปด้วย แม้ว่าในทางข้อมูล ตัวเลขของ Bitcoin Inscription จะรวมทั้งโทเคนต่างๆและ NFT แต่การก้าวกระโดดของตัวเลขบน Bitcoin ก็ทำให้เป็นสิ่งน่าจับตามอง และหาก Bitcoin Inscription จะขึ้นมาเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญใน NFT ต่อจากนี้ การหา NFT ที่เป็น OG อาจจะเป็นโอกาสที่น่าสนใจ
สภาวะตลาด NFT
Top 5 Volume Projects (Collectible NFT)
ข่าวลือ Azuki เตรียมจะร่วมมือกับ Weeb3 เพื่อทำ Anime (?)
Azuki เป็นหนึ่งใน Top Collection ในฝั่ง NFT มาโดยตลอด พร้อมกับภาพจำในฐานะ PFP รูปแบบ Anime แต่ในช่วงที่ผ่านมาก็ได้ประสบหลายปัญหาตลอดตลาดหมีเช่นกัน และเพื่อการอยู่รอด หลายโปรเจกต์จึงต้องทำการปรับตัวเพื่อให้เกิดความยั่งยืนที่มากขึ้น
หลายโปรเจกต์เริ่มนำ IP และตัวละครต่างๆในโปรเจกต์ไปต่อยอดในหลากหลายรูปแบบ Azuki เองก็เริ่มมีข่าวลือในการต่อยอดเช่นกัน
ช่วงต้นมกราคมที่ผ่านมา มี X ใหม่ชื่อ Weeb3 โผล่ขึ้นมาพร้อมติ๊กสีทอง โดยมี Azuki เข้าไป Follow และ Repost เพจใหม่นี้เอง ซึ่งในตอนแรกคนกังวลและคิดว่า Azuki โดน Hack รึเปล่า
แต่เมื่อทำการพิสูจน์กันแล้วว่าไม่ได้มีการถูก Hack คนจึงเริ่มสนใจ Weeb3 Foundation เองว่าคือโปรเจกต์อะไร – ในหน้าโปรไฟล์และ Website ของ Weeb3 ยังไม่ได้มีการเขียนข้อมูลอะไรมาก นอกจาก Keyword ว่า “สร้างจักรวาลเปิดของ Anime” พร้อมทั้งภาพประกอบที่เป็นภาพร่างสำหรับการสร้าง Animation
สิ่งนี้ทำให้คนคาดการณ์กันว่า อาจจะเป็นการนำ IP ของ Azuki ไปสร้างเป็น Animation เพื่อต่อยอดให้คนทั่วไปรู้จักชื่อ Azuki มากขึ้น
เปิดตัว “XAI” Layer 3 Gaming Platform
XAI เป็น Layer 3 Gaming Platform ที่พัฒนารวมกับทีมของ Arbitrum โดยวางตัวที่จะเป็น Gaming Platform ที่จะดึงดูดเหล่า Gamer จากโลก Web 2 เข้ามาในโลก Web 3
XAI Ecosystem นั้นจะมีตั้งแต่ XAI Blockchain บล็อกเชนสำหรับเกมที่พัฒนาบน Arbitrum Orbit (Layer 2 ของ Arbitrum), เกมที่พัฒนาร่วมกับโปรเจกต์ดังๆ, NFT Marketplace และอื่นๆอีกมากมาย
วันที่ 7 ธันวาคม 2023 ที่ผ่านมา XAI ได้เปิดขาย XAI Sentry Node เพื่อที่จะให้ผู้ใช้งานเข้ามาช่วยรัน Node และจะได้รับผลตอบแทนเป็นเหรียญ esXAI ที่จะสามารถแปลงเป็นเหรียญ XAI ได้ในอนาคต ซึ่งสามารถขายไปได้กว่า 30,000ชิ้น
วันที่ 3 มกราคม 2024 Binance Exchange ได้ประกาศ List เหรียญ XAI และเปิดกิจกรรม Launch Pool ที่สามารถนำเหรียญต่างๆมา Stake เพื่อรับเหรียญ XAI นอกจากนั้นโปรเกจต์ XAI ก็ได้ประกาศแจก Airdrop ให้ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม Testnet และ คนที่ซื้อ XAI Sentry Node ก่อนการ Snapshot
Authors
-
-
-
-
Research is not Forecast. Details are important. All Works are Not Financial Advices.
View all posts -
-
-