ปัจจุบันแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน บาท ต่อ ดอลล่าร์สหรัฐ ขยับแกว่งตัวอยู่ในจุดที่น่าจับตามองที่ 34.8 บาทต่อดอลล่าร์ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทที่ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าก็คือตัวเลขรายงานเงินเฟ้อ CPI ของประเทศไทยที่ประกาศออกมาล่าสุดในสัปดาห์ก่อนซึ่งอยู่ที่ 7.1% แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ประเทศเริ่มเข้าสู่วิกฤต Stagflation อย่างเต็มตัว บวกกับปัจจัยที่สองก็คือ ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่แสดงให้เห็นว่าจุดสูงสุดของเงินเฟ้อนั้นยังไม่ถึงจุดพีค ทำให้นักลงทุนแห่ขายสินทรัพย์เสี่ยงเข้าถือดอลล่าร์และยิ่งกดให้บาทอ่อนค่าลงไปอีก
ในเชิงเทคนิคอล แนวรับสำคัญอยู่ที่ 34.00 และจับตามองแนวต้านที่ 34.8 ซึ่งเป็นแนวต้านของเดือนที่ผ่านมา ถ้าหากเบรคได้อาจจะเกิดการย่อเพื่อ retest เพื่อคอนเฟิร์มขาขึ้นในระยะกลางและระยะยาว
ปัจจุบัน Bitcoin นั้นเคลื่อนตัวอยู่ในช่วง 24,000$ ซึ่งราคาได้ตกลงมาค่อนข้างรุนแรงหลังจากเกิดแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงหลังจากตัวเลขเงินเฟ้อไม่ลดลงเหมือนที่นักลงทุนคาดหวังไว้ ตลาดหุ้นถูกขายรุนแรงแค่ไหน ตลาดคริปโทเคอร์เรนซียิ่งถูกเทขายแรงกว่า สิ่งที่น่าจับตามองตอนนี้ก็คือ BTC Dominant ที่ใช้ดูเม็ดเงินระหว่าง Bitcoin และ Altcoins ตอนนี้อยู่ที่ 48% แสดงให้เห็นว่าคนในตลาดตอนนี้เทขาย Altcoins ทิ้งจำนวนมากแล้วเข้ามาถือ Bitcoin มากขึ้น
ในเชิงเทคนิคอล Bitcoin ได้หลุดแนวรับสำคัญลงมาเรื่อยๆ แนวรับสำคัญที่มองไว้ก็คือบริเวณ 21,000- 20,000$ (เส้นสีม่วง) ซึ่งคือแนวรับที่เคยเป็นแนวต้านในปี 2020 มาก่อนนั่นเอง สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนตามเทรนด์ในระยะกลางถึงยาวในช่วงนี้แนะนำให้ลดจำนวนการเข้าซื้อ Altcoins เพื่อเข้าซื้อ Bitcoin แทน เนื่องจากถ้าตลาดคริปโทเคอร์เรนซีกลับมาเป็นขาขึ้น Bitcoin จะ perform เด่นเป็นตัวแรก
จากผลการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 8.6% เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯยังควบคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ทำให้ทรัพย์สินเสี่ยงทั้งหุ้นและ cryptocurrency ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงว่าทาง Ethereum ก็มีเหตุการณ์เรื่อง stETH/ETH depeg (stETH มีมูลค่าต่ำกว่า 0.95 ETH, ปกติแล้วควรจะเป็นอัตราส่วน 1:1) ทำให้นักลงทุนหลายคนกังวลและเทขาย ETH เพื่อลดความเสี่ยง
แต่อันดับ TVL โดยรวมของทุกๆ chain ก็ยังคงเดิมกับเดือนที่แล้ว แม้ทาง ETH จะราคาปรับลงค่อนข้างเยอะแต่ TVL โดยรวมก็ลดลงเพิ่ง 11.47% ลดลงน้อยกว่า chain อื่นๆส่วนใหญ่ ในส่วนของ Tron chain TVL โดยรวมแทบไม่ลดลงเลย ในขณะที่ chain อื่นปรับตัวลงมากกว่า 10% ซึ่งถือว่าเริ่มน่าจับตามอง แต่การใช้งาน DeFi platform บน chain ก็ยังไม่เยอะมากนักโดยมี TVL ของ JustLend & JustStables รวมกันเป็น 73.7%(~4.2b) ของ TVL บน chain ทั้งหมด
stETH เป็น Derivative asset ของแพลตฟอร์ม Lido ที่แสดงถึงการนำ ETH ของเราไป Staked ที่ Beacon Chain ที่เป็นเชน PoS ที่ทำงานขนานกับเชน ETH ที่เราใช้งานอยู่ปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่นำ ETH ไปฝากในระบบ PoS จะได้รับผลตอบแทนจากการเป็น Validator ประมาณ 4% ต่อปี โดยถ้า The Merge สำเร็จ stETH จะสามารถแลกกลับเป็น ETH แบบ 1 : 1 และ Reward จากการ Stake อีกเล็กน้อยด้วย
แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Alameda Research กองทุนชื่อดังของ FTX ได้ยอมเทขาย stETH ออกมา 50,615 stETH หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 100m USD ในราคาขาดทุน พอรายย่อยเห็นว่ากองทุนชื่อดังอย่าง Alameda ได้ทำการเทขายในราคาขาดทุน ก็เกิดเหตุการณ์ panic เทขายตามๆกันมาจนราคาของ stETH เหลือเพียง 0.93 ETH / stETH (ณ วันที่ 13/6/2022) ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ “หลุด Peg” ของ stETH ซึ่งส่งผลต่อไปทั้งความเชื่อมั่นและราคาของ ETH ที่ลดลงเกินกว่า 10% ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน
ปัจจุบัน stETH มี supply ทั้งหมด 4,220,540 stETH โดยตอนนี้ stETH สามารถ Mint ได้ที่แพลตฟอร์ม Lido เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำการ Burn เพื่อลด Supply ได้ ทำให้ Supply ของ stETH จะไม่ลดลงเลยจนกว่า The Merge จะเสร็จสิ้น สำหรับผู้ที่ถือ stETH อยู่ในขณะนี้ หากต้องการแลกกลับเป็น ETH สามารถทำได้โดยการไปเทขายในตลาดรองอย่าง Curve.finance ซึ่งตอนนี้เหลือ liquidity ในฝั่ง ETH สำหรับการแลกกลับเหลือเพียง 114,000 ETH จากสูงสุดช่วงก่อน stETH จะหลุด peg ที่เคยมีถึง 850,000 ETH
เหตุการณ์ต่อเนื่องจากการ depeg ของราคา stETH ก็มีอีกเรื่องให้กังวลกันคือ Celsius บริษัทด้านคริปโทฯมีการใช้ stETH ของตัวเองประมาณ 700,000 stETH และเหรียญอื่นๆ ในการค้ำเพื่อกู้ Stablecoin บนแพลตฟอร์ม Defi ต่างๆเช่น MakerDao , AAVE โดยหาก stETH/ETH ราคาตกลงไปมากกว่านี้ก็มีโอกาสสูงที่จะโดนโดนบังคับขาย stETH ทอดตลาด (Liquidation) ซึ่งหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงจะมี stETH อีกจำนวนมากถูกเทขายจนอาจทำให้เราเห็นการเทขายแบบโดมิโน (Cascading Liquidation) จนอาจทำให้ stETH ยิ่ง depeg ไปมากกว่านี้ก็เป็นได้
ล่าสุดทาง Celcius ได้ประกาศปิดการถอนเงินออกชั่วคราว (Frozen withdrawal) ทำให้นักลงทุนหลายๆคนกังวลว่าเหตุการณ์นี้ Celcius จะไม่สามารถนำเงินมาคืนคนฝากได้เต็มจำนวน และอาจเห็นการ Bank Run ของ Celsius ซึ่งจะส่งผลต่อไปที่ภาพรวมของตลาดคริปโททั้งตลาดได้
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ทาง Optimism มีการประกาศผ่านทางทวิตเตอร์หลักว่า OP Token นั้นถูกแฮ็คเกอร์ขโมยไปเป็นจำนวนกว่า 20M OP
โดยสาเหตุมาจากความสะเพร่าของ Wintermute ซึ่งเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องของ OP Token โดยเหตุการณ์จริงๆเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม แต่ทีมงาน Optimism เพิ่งมารู้ตัวเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมนั่นเอง
เรื่องมีอยู่ว่า Wintermute นั้นได้รับมอบหมายจากทาง Optimism ให้มีการนำสภาพคล่องเหรียญ OP Token ไปกระจายตาม Centralized Exchange ในที่ต่างๆเป็นจำนวน 20M OP โดยก่อนที่ Optimism จะมีการโอนให้กับทาง Wintermute นั้น ก็ได้มีการทดสอบการโอน OP Token ไปทั้งหมด 2 ครั้งเพื่อเป็นการตรวจสอบความถูกต้องของ Address ที่ทาง Wintermute ให้มาว่าถูกต้องหรือไม่ หลังจากนั้นการโอนครั้งสุดท้ายจึงได้เริ่มโอน 20M OP ไป แต่ผลปรากฎว่า 20M OP ก็ได้ถูกโอนไปยังกระเป๋าของแฮ็คเกอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การที่ถูกแฮ็คเกอร์ทำการขโมย OP Token ในครั้งนี้ เนื่องมาจากทาง Wintermute นั้นใช้ Multi-sig Wallet สำหรับการยืนยันธุรกรรมต่างๆ และ Address ที่ทาง Wintermute ส่งไปให้กับทาง Optimism นั้นเป็น Address สำหรับการใช้งานภายใน Ethereum Mainnet เท่านั้น โดยในระหว่างที่ Wintermute กำลัง Deploy Contract Address ใหม่บน Optimism Layer 2 นั้น แฮ็คเกอร์ก็ได้ Deploy Contract Address บน Optimism ชิงตัดหน้าทาง Wintermute ไปก่อนแล้ว จึงทำให้ OP Token ทั้งหมดที่ถูกส่งมาจาก Optimism นั้น ถูกโอนเข้ากระเป๋าของแฮ็คเกอร์ไปเลยนั่นเอง
และหลังจากขโมยสำเร็จ แฮ็คเกอร์ก็ได้ทำการเทขาย 1M OP เพื่อเปลี่ยนเป็น ETH และนำ ETH ทำการ Bridge กลับไปที่ Ethereum Mainnet และทำการโอน ETH ออกผ่านแพลตฟอร์ม Tornado.cash เพื่อปกปิดธุรกรรมไม่ให้ถูกตรวจสอบได้ ส่วน OP Token อีก 1M OP ถูกโอนให้กับกระเป๋าของ Vitalik Buterin และสุดท้ายเมื่อวัน 10 มิถุนายนที่ผ่านมา แฮ็คเกอร์ก็ได้โอน OP Token คืนให้กับคลังของ Optimism เป็นจำนวนทั้งหมด 17M OP และมีการเก็บไว้เองเป็นจำนวน 1M OP นั่นเอง จากเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้ราคา OP Token ร่วงลงกว่า 18% ในระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว
สภาวะตลาด NFT ย้อนหลัง 30 วันพบว่าตลาด NFT ได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี อย่างมากโดยเมื่อดูจากปริมาณการซื้อขายและจำนวนผู้ใช้งานของแพลตฟอร์มซื้อขาย NFT อันดับหนึ่งอย่าง Opensea พบว่ามีการลดลงประมาณ 65% และ 15% ตามลำดับ นอกจากนั้นสิ่งที่สะท้อนตลาดหมีได้อีกคือราคา Floor Price ของโปรเจค Blue-chip ที่ลงมาอย่างมาก โดยอย่าง Bored Ape Yacht Club ซึ่งเคยมีราคา ATH Floor Price ที่ประมาณ 150 ETH ปัจจุบันราคาลดลงมาเหลือประมาณ 70 ETH หรืออย่าง Clone X ที่ซึ่งเคยมีราคา ATH Floor Price อยู่ที่ประมาณ 26 ETH ปัจจุบันราคาลดลงมาเหลือประมาณ 7.7 ETH นอกจากนั้นยังมีปัจจัยการลงของราคา ETH ซึ่งลงมากกว่า 60% ในระยะเวลาเดือนเศษ ซึ่งถ้าคิดเป็นหน่วยดอลลาร์สหรัฐจะพบว่าราคา Floor Price ได้ลดลงมากกว่า 85% เลยทีเดียว
และเนื่องด้วยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 8.6% ผู้คนจึงมีความกังวลและต้องการโยกเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า ดังนั้น NFT ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ เลยอาจจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวเร็ว ๆ นี้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรติดตามอย่างมากคือตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าว เพราะถ้าเงินเฟ้อเริ่มลดลง แล้วเศรษฐกิจฟื้นตัวก็อาจเป็นไปได้ว่า NFT Blue-chip ที่เป็นตัวสะท้อน Luxury Products น่าจะสามารถกลับขึ้นมาได้เป็นตัวแรก ๆ เมื่อเทียบกับตัวอื่น ๆ
ในวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมาบริษัท RTFKT ซึ่งเป็นเจ้าของคอลเลคชั่น NFT ชื่อดังอย่าง Clone X และเป็นส่วนหนึ่งของ Nike ได้เปิดการ Collab กับแบรนด์ Byredo ซึ่งเป็นแบรนด์น้ำหอมที่มาจากประเทศสวีเดน โดยการ Collab ครั้งนี้จะเรียกว่า ALPHAMETA ซึ่งจะมีการเปิดให้มี ออร่า(Aura) แบบสวมใส่ให้กับตัว Clone X โดยออร่าตรงนี้จะเกิดจากส่วนประกอบหลาย ๆ รวมกัน ซึ่งสามารถคาดได้ว่าตรงนี้ผู้ใช้งานน่าจะสามารถออกแบบออร่าตรงนี้ได้ตามต้องการเหมือนนักเล่นแร่แปรธาตุ(Alchemist)
ถึงแม้ทาง RTFKT จะยังไม่ได้บอกวันของกิจกรรมนี้แต่ก็พบว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อย เพราะคำถามที่บ่อยครั้งจะเกิดขึ้นก็คือ เมื่อเราเข้ามาในโลก Web 3 หรือ Metaverse แล้ว หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ของมนุษย์คือการได้กลิ่นนั้นจะเป็นอย่างไร เพราะแน่นอนว่าเราไม่สามารถได้กลิ่นผ่าน Hardware หรือ Software ได้เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้องค์ประกอบตรงนี้ครบ จึงคาดว่าทาง RTFKT และ Byredo น่าจะเตรียมที่จะมีให้ผู้ใช้สามารถได้น้ำหอมจริงด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้น ก็น่าจะทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานของ RTFKT Ecosystem ทั้งในด้านของ Digital และ Physical ถูกเติมเต็มมากยิ่งขึ้นไปอีก
ระหว่างวันที่ 6-8 มิถุนายนที่ผ่านมา Gala Games ได้จัดงาน Into the Galaverse ที่ประเทศ Malta และภายในงานวันแรก John W. Osvald ประธานฝ่ายเกมของ Gala Games ได้ประกาศว่าพวกเขาได้ร่วมมือกับ Epic Games เพื่อที่จะเปิดตัวเกมที่ชื่อว่า “Grit” บน Epic Games Store ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 194 ล้านคนทั่วโลก โดยคาดว่าจะเปิดให้เล่นได้อย่างเป็นทางการภายในปี 2022 นี้
Grit เป็นเกม PC แนว Battle Royale แบบกลิ่นอายตะวันตกสมัยก่อนที่ Team Grit เป็นผู้พัฒนาให้ Gala Games ซึ่งเกมนี้ก็ได้ใช้ Unreal Engine ของ Epic Games ในการสร้างอีกด้วย โดยรายละเอียดวิธีการเล่นในภาพรวมของเกมก็จะคล้ายกับเกม Battle Royale ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันอย่าง PlayerUnknown’s Battlegrounds (PUBG) หรือ Fortnite แต่อาวุธ สภาพแวดล้อม ยานพาหนะ และอื่น ๆ ก็จะแตกต่างออกไปตาม theme ของเกมที่เป็นยุคสมัยก่อน และแน่นอนว่าส่วนเสริมในเกมอย่าง Avatar หรือ Skin ของอาวุธก็จะมีการใช้ NFT มาเกี่ยวข้องด้วย
Gala Games เป็น Game Studio ที่ก่อตั้งโดย Eric Schiermeyer ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Zynga ที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในการทำเกมมากมายโดยเฉพาะเกม Farmville โดยในส่วนของ Gala Games จะเน้นพัฒนาเกมที่มีการใช้ blockchain เป็นหลักที่คำนึงถึงความสนุกของเกมมาเป็นอันดับแรก ซึ่งในตอนนี้มีเกมที่เปิดให้เล่นแล้วทั้งหมด 2 เกมคือ Townstar และ Spider Tanks โดยเกม Spider Tanks เป็นเกมแนว PvP ที่ได้มีการจัดแข่งขันแบบ E-Sport ไปแล้วด้วยเมื่อปลายปี 2021 ที่ผ่านมา และยังมีเกมในเครือที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกมากกว่า 10 เกมซึ่งบางเกมก็มีแผนที่จะเปิดตัวภายในปีนี้โดยหนึ่งในนั้นก็เป็น Grit นั่นเอง
Epic Games เป็น Game Studio ที่เป็นผู้พัฒนาเกมชื่อดังอย่าง Fortnite ซึ่งเป็นเกมแบบ Battle Royale ที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของโลกโดยมีผู้เล่นเฉลี่ย 300 ล้านคนต่อเดือน และบางวันมีผู้เล่นสูงสุดถึง 30 ล้านคนต่อวันเลยทีเดียว (ข้อมูล 30 วันย้อนหลังจาก activeplayer.io/fornite/) และ Epic Games ยังเป็นผู้พัฒนา Unreal Engine ที่เป็น Game Engine ที่ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมอย่างมากที่หลายคนเลือกใช้ในการพัฒนาเกมอีกด้วย
CUBE ที่เป็นแพลตฟอร์มภายใต้ Netmarble ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ BNB application’s new Sidechain Framework เพื่อที่จะสร้าง GameFi ecosystem ที่ทำงานบน BNB Chain Application Sidechain (BAS) โดย CUBE ก็ได้รับการดูแลเรื่องบล็อกเชนจาก NodeReal ซึ่งเป็น One-Stop Blockchain Infrastructure and Solution Provider ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Binance อีกทีหนึ่ง โดยตาม Roadmap ทาง CUBE มีแผนว่าจะทำการเปิดตัวเกม Golden Bros ที่เป็นเกมแนว 3 vs 3 combat shooter อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ โดยก่อนหน้านี้ก็ได้มีการเปิดแบบ Early Access ไปในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
BNB Chain Application Sidechain (BAS) จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างบล็อกเชนแยกที่เชื่อมต่อข้อมูลและทรัพย์สินจาก BNB Chain โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยลดภาระในการทำธุรกรรมที่จำกัดของเครือข่ายบน BNB Chain ที่เป็นบล็อกเชนหลัก และลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมพร้อมกับเพิ่มความเร็วของการทำธุรกรรมสำหรับ application ที่ต้องใช้ทรัพยากรมาก เช่น การเล่นเกม และ BAS ยังอนุญาตให้นักพัฒนาสามารถปรับเปลี่ยนตัวแปรต่าง ๆ ได้อย่างอิสระเพื่อให้เหมาะสมกับ application ของตัวเองได้ด้วย
CUBE เป็นแพลตฟอร์ม GameFi และสื่อบันเทิงต่าง ๆ ที่มีพื้นฐานอยู่บนบล็อกเชน ซึ่งแพลตฟอร์ม CUBE ถูกพัฒนาโดย Metaverse World ที่อยู่ภายใต้ Netmarble ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านเกมมือถือหรือ Mobile Gaming มาอย่างยาวนาน