Search
Close this search box.

Cryptomind Bi-weekly Outlook (1-15 December 2022)

Share :
1-15DEC

Table of Contents

Binance กำลังถูกตลาด Stress test อย่างหนักจากข่าว FUD และมีการถอนเงินจาก Binance มากถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ราคาร่วงลงมากว่า 8% แต่หลังจากนั้นราคาได้มีการลงมาแตะเเนวรับสำคัญและเด้งขึ้นทันที จาก Technical analysis ในภาพ ใหญ่ขนาด TF week พบว่า $BNB ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นเนื่องจากมีการทำ Higher low ร่วมกับราคาเคลื่อนตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 100 และ 170 ตามลำดับ ฉะนั้นถ้าหาราคาไม่ได้ลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ใต้ต่อราคา $183 จะยังคงมุมมองว่าราคา $BNB ภาพใหญ่เป็นขาขึ้น

สำหรับกราฟราคาของ $BNB ใน TF day นั้นพบว่าราคามีโซนแนวรับที่แข็งแกร่งในกรอบสีแดง จะเห็นว่าราคามีการลงมาทดสอบทั้งหมด 6 ครั้งแต่ยังไม่หลุดโซนนี้รวมถึงในครั้งนี้เช่นกัน จึงเป็นโซนที่เราต้องจับตามองมากที่สุด โดยหากราคาปรับตัวลงหลุดโซนนี้และจุดต่ำสุดก่อนหน้า(เส้นประสีแดง) ราคามีโอกาสที่จะลงไปที่โซนแนวรับถัดไปคือที่ $207(เส้นสีส้ม) และ $183(เส้นสีแดง) ตามลำดับ แต่ถ้าหากราคาไม่ปรับตัวลงมาหลุดแนวรับ ราคาจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามแนวโน้มของภาพใหญ่และขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ราคา $317.2 และหากผ่านไปได้มีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ราคา $355 ได้

โดยสรุปจากด้าน Techical ราคาของ $BNB ได้แสดงถึงความแข็งแกร่งมาหลายครั้ง ด้วยแนวรับที่แข็งแกร่งและแนวโน้มขาขึ้นของภาพใหญ่ อย่างไรก็ตามตอนนี้ Binance กำลังได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยภายนอกทำให้ราคามีความผันผวนและอ่อนไหวมากจึงควรต้องระมัดระวังและแนะนำให้รอสถานการณ์คงที่และเห็นทางออกที่ชัดเจนก่อน

สำหรับ $LINK เหรียญจาก Chainlink บริษัท Oracle price feed อันดับต้นของโลก ได้มีการเปิดตัว Feature staking ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาและเป็นที่พูดถึงอยู่ใน Crypto Twitter แต่ราคากลับไม่ได้ตอบสนองอย่างที่นักลงทุนหลายคนคาดหวัง โดยจาก Technical analysis ใน TF week นั้นพบว่า $LINK ได้มีการปรับตัวลงมาจากจุดสูงสุดถึง 90% และในปัจจุบันราคาเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบแคบๆในลักษณะ Sideway ออกข้างต่อเนื่องตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และยังไม่มีเทรนด์หรือสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน และจะเห็นว่ามีแนวรับที่สำคัญอยู่อีกสองแนวคือที่ราคา $4.6 และ $1.5 ตามลำดับ ซึ่งหากราคาเคลื่อนที่หลุดจากกรอบ Sideway นี้อาจจะเป็นแนวรับที่ต้องจับตามองต่อไป

ในส่วนของราคาใน TF day นั้นเราจะเห็นกรอบ Sideway ที่ชัดเจนมากขึ้นโดยกรอบจะอยู่ระหว่างเส้นประสีแดงและสีเขียว ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อราคาลงมาแตะกรอบล่างจะมีการเด้งขึ้นและเมื่อราคาเคลื่อนที่ขึ้นไปแตะกรอบบนราคาจะมีการปรับตัวลง โดยตอนนี้ราคาได้ปรับตัวลงมาแตะกรอบล่างและมีการเด้งขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับมีการย่อตัวลงมาเล็กน้อย และหากราคายังเคลื่อนที่อยู่ในกรอบ Sideway เดิมราคาอาจมีโอกาสขึ้นไปแตะกรอบบนได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามหากราคามีการเคลื่อนที่ออกจากกรอบอย่างชัดเจน ราคามีโอกาสจะเคลื่อนที่ไปที่แนวรับหรือแนวต้านถัดไปได้

โดยสรุปตอนนี้ราคาของ $LINK ยังไม่มีแนวโน้มของการเคลื่อนที่ชัดเจนเนื่องจากยังอยู่ในกรอบ Sideway อย่างต่อเนื่อง ตามมุมมองด้าน Technical อาจสะสม $LINK โดยพิจารณาที่โซนกรอบล่างของ Sideway ได้แต่หากราคาเคลื่อนที่หลุดกรอบแนวรับจะต้องมองไปที่แนวรับถัดไปทันที

ปัจจุบันอัตราการแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทและดอลลาร์อยู่ในโซนช่วงระหว่าง 34.6-34.8 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีแนวรับอยู่ในช่วง 34.5 บาทต่อดอลล่าร์ แต่ใดๆก็ตามอัตราค่าเงินบาทมี 5 ปัจจัยที่ต้องจับตาดูดังนี้

1.Global economic slowdown: การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่กำลังส่งผลให้กับภาพเศรษฐกิจไทยที่เริ่มติดขัด

2.Decelerating export growth: การส่งออกที่รับผลกระทบ จากข้อมูลล่าสุดของ Ministry of commerce ได้รายงานว่าการส่งออกของไทยในเดือนตุลาคมหดตัวลง 4.4% ซึ่งสูงสุดในรอบ 20 เดือน ซึ่งได้รับผลกระทบจากประเทศรอบนอกประเทศคู่ค้าที่มีปัญหาเศรษฐกิจอาทิเช่น จีน หรือ Emerging market รอบข้าง

3.Tourism support: การผ่อนปรนทางการท่องเที่ยวของภาครัฐที่จะช่วยซัพพอร์ตการท่องเที่ยวได้ดีแค่ไหน

4.Inflation remains a concern: สถานการณ์เงินเฟ้อของไทยที่ยังไม่คลี่คลาย โดยปัจจุบันเงินเฟ้อไทยอยู่ที่ 5.55% แต่มีการคาดการณ์จากแบงค์ชาติว่าปีหน้าอยากให้ลดลงมาในโซน 2.5%-3.5% ซึ่งถือว่าเป็นการบ้านที่หนักเอาการเช่นกัน

5.Interest rate trend: ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นของประเทศทั่วโลก ที่คอยกดดันเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ยิ่งขึ้นดอกเบี้ยแรงก็ส่งผลต่อสภาพคล่องของรายย่อย ซึ่งไทยปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.25% สหรัฐอยู่ที่ 4.5% ซึ่งดอกเบี้ยของประเทศทั่วโลกโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4-5% ซึ่งดอกเบี้ยของประเทศไทยยังคงห่างจากค่าเฉลี่ยพอสมควร

มุมมองในปีหน้า: เงินบาทมีความผันผวนตามปัจจัยข้างต้นในปีหน้า โดยปัจจุบันอยู่ในทิศทางไซด์เวย์ในกรอบ 34.5 ถึง 35 จนกว่าตัวเลขเชิงเศรษฐกิจของใน Q1 ของประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้น

ตัวเลข CPI หรือ Headline Inflation ปรับตัวลดลงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 7.1% YOY แต่หากเรามา Breakdown ในแต่ละ Sector จะพบว่าสัดส่วนเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงมาเยอะนั้นมาจาก Energy ทั้ง Commodities และ Services เป็นส่วนใหญ่  ในขณะที่ Food ที่เป็น Component หลักนั้นยังปรับลงไม่มาก อาหารสดปรับขึ้นเล็กน้อย อาหารที่ซื้อทานนอกบ้านปรับลงค่อนข้างชัดเจน

ในขณะที่ Core CPI ก็ปรับตัวลดลงมาต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ตัวหลักที่ปรับลงจะเป็น Transportation services สอดคล้องกับราคาพลังงานที่ปรับลดลงและ Medical care services ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับเกณฑ์เบี้ยประกันสุขภาพครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ รัฐอุดหนุนเพิ่ม ลดค่าใช้จ่ายประชาชนในส่วนนี้ ขณะที่ Shelter ที่เป็น Component หลัก ยังคงปรับตัวต่ำลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากค่าใช้จ่ายในฝั่งค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นยังไม่ได้ลดลงเท่าที่ควร โดยต้องจับตามองตัวเลขในส่วนนี้ฝั่งอเมริกาว่าในช่วง Q1 ว่าจะมีการปรับค่าเช่าตามสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์หรือไม่ 

โดยรวมเงินเฟ้อปรับตัวลดลงจากฝั่งพลังงานเป็นหลัก  ในขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานหรือ Core CPI ก็ดูดีขึ้นแต่ยังคงต้องจับตาดู เพราะ Core CPI อาจจะเป็นตัวที่กำหนดว่า FED จะขึ้นและค้างดอกเบี้ยไว้อีกนานแค่ไหน กล่าวโดยสรุป ทางเรามองว่า ถึงแม้เงินเฟ้อจะมีทิศทางลง แต่ยังจำเป็นต้องจับตามองสถานการณ์ของราคา Shelter และ Food ที่มีโอกาสที่จะทำให้เงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ทำให้ Fed ยังไม่คลายกังวลที่จะขึ้นดอกเบี้ย โดยล่าสุดมีข้อมูลจาก Fed dot plot ออกมาว่าในปี 2023 ดอกเบี้ยของประเทศสหรัฐอเมริกาจะขึ้นไปอยู่สูงถึง 5.1% และมีแนวโน้มที่จะลดลงในปี 2024

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาด Cryptocurrency ยังคงอยู่ในระดับทรงตัว และปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยหลังจากการประกาศตัวเลข CPI ของสหรัฐฯเมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยภาพรวมตลาดยังถูกกดดันจากผลกระทบจากการล่มสลายของ FTX Exchange นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากข่าวของ Coindesk ที่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของ Proof of Reserve ของ Binance 

อย่างไรก็ตาม จากข่าวที่ไม่สู้ดีต่างๆที่เกิดกับ Centralized Exchanges (CEXs) กลับส่งผลกระทบต่อ DeFi น้อยมาก โดยภาพรวม TVL ของ DeFi เพิ่มขึ้นประมาณ 2% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ยกเว้นแค่เพียง BNB Chain ที่มี TVL ลดลงถึง 12.62% คาดว่ามาจากการที่นักลงทุนลดความเสี่ยงจากกรณีข่าวที่ออกมาเกี่ยวกับ Proof of Reserve ของ Binance นั่นเอง ส่วนเชน Arbitrum ก็เป็นอีกหนึ่งตัวที่น่าจับตามอง เพราะล่าสุด TVL ของเชน Arbitrum ได้แซงหน้าเชน Polygon ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 4 เรียบร้อยแล้ว 

ส่วน DeFi Narrative ที่ยังคงมาแรงก็ยังคงหนีไม่พ้น Decentralized Exchanges, Decentralized Derivatives/Options Exchanges ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากข่าวร้ายที่เกิดกับ CEXs ในช่วงนี้ โดยผู้นำของ Narrative นี้อย่าง GMX ก็ได้แสดงความแข็งแกร่งต่อเนื่องทั้งราคาเหรียญและปริมาณค่า Trading fees ที่เก็บได้รายวัน โดยจากข้อมูล ณ วันที่ 14 ธันวาคม GMX เก็บค่า Trading fee เฉลี่ยรายได้วันอยู่ที่ประมาณ 4.12 แสนดอลลาร์สหรัฐ เป็นรองแค่ UniSwap เท่านั้น

ล่าสุดจากรณีของเหตุการณ์ FTX ที่ใช้เงินของลูกค้าไปทำกิจกรรมต่างๆ เช่น นำไปเป็นงบโปรโมทการตลาดกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และ นำไปอุ้ม Alameda Research ที่ถูกก่อตั้งโดย Sam เอง CEO ของ FTX อีกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ ทำให้รวมแล้ว FTX สูญเสียเงินของลูกค้าไปกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้เมื่อมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับ Alameda Research และ FTX ทำให้ลูกค้าตกใจกลัว จึงเกิดการแห่ถอนเงินขึ้นทำให้ FTX เกิด Bankrupt ในที่สุด

ล่าสุดวันที่ 14 ธันวาคม Sam Bankman-Fried ได้ถูกจับกุมด้วย 8 ข้อหาหลักๆเช่น

สมรู้ร่วมคิดในการฉ้อโกงผ่านการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์กับลูกค้า ,การสมรู้ร่วมคิดในการฉ้อโกงหลักทรัพย์ และ กระทำการฟอกเงินเพื่อฉ้อโกงสหรัฐอเมริกาและละเมิดกฎหมายการเงินการหาเสียง เป็นต้น

ซึ่งจากเหตุการณ์ การล่มสลายของ FTX ก็ทำให้หลายๆ Exchange ออกมาใช้มาตรฐานใหม่ที่เรียกว่า Proof Of Reserve (POR) ซึ่งคือ การเปิดเผยสินทรัพย์ในคลังของเว็บเทรดนั้นๆว่ามีจำนวนเท่ากับสินทรัพย์ของลูกค้าจริงๆหรือไม่ ซึ่ง Exchange ที่ได้ออกมาเปิดเผยเป็นรายแรกๆได้แก่ Binance ที่เป็นเว็บเทรดคริปโตอันดับ 1 ของโลกในตอนนี้

ถึงจะออกมาเปิดเผล POR แต่ก็ยังมีข่าวไม่ดีเกิดขึ้น มีคนออกมากล่าวว่า POR ที่ Binance เปิดเผยออกมานั้นไม่ตรงกับทรัพย์สินที่มีจริงๆ จึงทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ตกใจกลัวแห่ถอนเงินออกจาก Binacne เป็นจำนวนสูงถึง 4.27 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง แต่ล่าสุด Binance ก็ได้ออกมารายงานว่า เงินของลูกค้ายังคงอยู่ครบและยังไม่มีการปิดการถอนเหมือนในกรณีของ FTX ที่มีการถอนเงินเพียง 2 พันล้านดอลลาร์ ก็ทำให้ประกาศปิดการถอนและ Bankrupt ไปในที่สุด

เมื่อไม่กี่วันก่อน สำนักข่าว CoinDesk ได้ออกมารายงานถึงความเห็นของพนักงานอัยการจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของ Proof of Reserve ของ Binance ที่คาดการณ์ว่ามีสินทรัพย์สำรองเพียง 97% ซึ่งต่างจากรายงานของ Binance ที่มีสินทรัพย์สำรองมากถึง 101% 

ประกอบกับสำนักข่าวอื่นๆก็ได้นำข่าวเมื่อปี 2018 กลับมาพูดถึงใหม่ เกี่ยวกับคดีฟอกเงินต่างๆที่ทาง Binance อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการปกปิดข้อมูลของผู้ร้าย จึงทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ Binance กันหนาหูมากขึ้นเกี่ยวกับความน่ากังวลและความไม่โปร่งใส และอาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับ FTX ได้

จึงทำให้ตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มียอดเงินถูกถอนออกจาก Binance เป็นจำนวนมากถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเกิดการเทขายเหรียญ BNB และ BUSD เกิดขึ้นจนทำให้ BUSD หลุด Peg ไปที่ราคาราวๆ $0.998/BUSD ก่อนจะกลับมา Peg ใหม่ในเช้าวันที่ 14 ธันวาคม

หลังจากความโกลาหลเมื่อวานที่คนแห่กันถอนเงินจาก Binance ในวันที่ 14 ธันวาคมก็ดูเหมือนสถานการณ์จะคลี่คลายลงมากขึ้น จากการที่ BUSD สามารถกลับมา Peg ที่ $1 ได้อย่างรวดเร็ว, Netflow ของ Binance ตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมากลับมาเป็นบวกที่ 554 ล้านดอลลาร์ (ข้อมูลจาก Nansen) และ Pool BUSD ใน Curve Finance จากเมื่อวานที่สัดส่วน BUSD เพิ่มไปสูงถึง 81% วันนี้สัดส่วนก็ได้ลดลงมาอยู่ราวๆ 76% แสดงถึงการที่คนมาแลกกลับเป็น BUSD กันเหมือนเดิม

ถึงแม้ว่าหลายๆจากข้อมูลดังกล่าวจะแสดงถึงความน่ากังวลที่ลดลงต่อ Binance แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่นักลงทุนควรทำก็คือ การเก็บเงินบางส่วนเอาไว้ใน Binance เฉพาะที่จำเป็น และเก็บสินทรัพย์เอาไว้ใน Hardware Wallet หรือเก็บใน Exchange ที่ได้รับความคุ้มครองจากก.ล.ต.นั่นเอง

ผลตอบแทนที่ได้จากการฝากธนาคารและการฝากพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 2.45% ส่วนผลตอบแทนจากการฟาร์มหรือปล่อยกู้ Stablecoin บนแพลทฟอร์มต่างๆให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 3.57% ซึ่งสำหรับการฟาร์ม Stablecoin สามารถเลือกฝากกับแพลทฟอร์มที่มีความปลอดภัยสูงและเปิดมานาน เช่น Curve, UniSwap, PancakeSwap, Aave, Compound, Traderjoe และ Spookyswap หรือจะเลือกฝากบนแพลทฟอร์มที่ใหม่กว่าและผลตอบแทนสูงกว่าอย่างเช่น Velodrome ก็ได้เช่นกัน โดยผลตอบแทนเฉลี่ยระหว่างการฝากธนาคารหรือพันธบัตรเทียบกับการฟาร์ม Stablecoin ต่างกันอยู่ที่ประมาณ 1.45 เท่า

เมื่อเทียบกับเดือนก่อนๆจะพบว่าผลตอบแทนจากเงินฝากและพันธบัตรเพิ่มขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยทั้งหมด 3 ครั้ง  ส่วนผลตอบแทนในการฝาก Stablecoin กลับลดลงค่อนข้างมากจาก APR ประมาณ 8% ในช่วงไตรมาสแรกของปี ส่วนหนึ่งมาจากการที่ผลตอบแทนส่วนใหญ่มาจาก Trading Fee & Borrowing แต่เมื่อมีการทำธุรกรรมดังกล่าวลดลงจากสภาวะของตลาด ผลตอบแทนจึงลดลงตาม

สภาวะตลาด NFT ในช่วง 30 วันที่ผ่านมาพบว่าปริมาณซื้อขาย NFT บน Ethereum Blockchain มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 8% ซึ่งต่างกับบล็อกเชนอื่น ๆ ที่มีการปรับตัวลง เนื่องจากช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาคอลเลคชั่น Vahalla ได้ Reveal Artwork แล้วผลที่ออกมาคือค่อนข้างประทับใจโดยราคา Floor Price ก่อน Reveal ประมาณ 0.7 ETH และลงไปที่ 0.4 ETH ในจุดต่ำสุด แต่ปัจจุบันราคา Floor Price ได้ดีดขึ้นมาอยู่ในระดับสูงถือ 1.09 ซึ่งถือว่าเป็น NFT ที่ทำได้ดีในช่วงสภาวะตลาดแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีคอลเลคชั่น The Legend of CØCKPUNCH™ ที่จะนำยอดขายหลักทั้งหมดจะถูกส่งไปบริจาคให้กับองค์กรด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์  แต่สิ่งที่ทำให้คอลเลคชั่นนี้มีคนสนใจมากเพราะ Cockpunch นั้นออกโดย Tim Ferries ที่เป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงในอเมริกาซึ่งมียอดผู้ติดตามใน Twitter เกือบสองล้านคน จึงทำให้คอลเลคชั่นนี้มีผู้คนสนใจและสามารถทำยอดขายสูงที่สุดในรอบ 7 วันได้อย่างรวดเร็ว

สภาวะตลาด NFT ในช่วง 30 วันที่ผ่านมาพบว่าปริมาณซื้อขาย NFT บน Ethereum Blockchain มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 8% ซึ่งต่างกับบล็อกเชนอื่น ๆ ที่มีการปรับตัวลง เนื่องจากช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาคอลเลคชั่น Vahalla ได้ Reveal Artwork แล้วผลที่ออกมาคือค่อนข้างประทับใจโดยราคา Floor Price ก่อน Reveal ประมาณ 0.7 ETH และลงไปที่ 0.4 ETH ในจุดต่ำสุด แต่ปัจจุบันราคา Floor Price ได้ดีดขึ้นมาอยู่ในระดับสูงถือ 1.09 ซึ่งถือว่าเป็น NFT ที่ทำได้ดีในช่วงสภาวะตลาดแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีคอลเลคชั่น The Legend of CØCKPUNCH™ ที่จะนำยอดขายหลักทั้งหมดจะถูกส่งไปบริจาคให้กับองค์กรด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์  แต่สิ่งที่ทำให้คอลเลคชั่นนี้มีคนสนใจมากเพราะ Cockpunch นั้นออกโดย Tim Ferries ที่เป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงในอเมริกาซึ่งมียอดผู้ติดตามใน Twitter เกือบสองล้านคน จึงทำให้คอลเลคชั่นนี้มีผู้คนสนใจและสามารถทำยอดขายสูงที่สุดในรอบ 7 วันได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างที่เห็นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ คือการที่คอลเลคชั่น NFT inBetweeners ของ Justin Bieber ได้จับมือกับแบรนด์เสื้อผ้าระดับโลกอย่าง Dolce & Gabbana ที่จะทำการขาย inBetweeners คอลเลคชั่นพิเศษ 2,000 ตัวที่จะมี Trait ของ Dolce & Gabbana อยู่ด้วย โดยสิ่งที่พิเศษก็คือผู้ที่ถือคอลเลคชั่นนี้จะได้รับสินค้าจริงจาก Dolce & Gabbana ตาม Trait ที่ตัวเองเป็นเจ้าของอีกด้วย ซึ่งราคามิ้นสำหรับ WL นั้นจะอยู่ที่ 0.69 ETH หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3 หมื่นบาท และสำหรับ Public จะอยู่ที่ 0.88 หรือประมาณเกือบ 4 หมื่นบาท

Animoca Brands บริษัทเกมยักษ์ใหญ่จากฮ่องกงและเป็นบริษัทแม่ของ The Sandbox ได้เปิดตัวกองทุนมูลค่ามหาศาลมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ในชื่อ “Animoca Capital” เพื่อลงทุนในธุรกิจ Metaverse

Yat Siu ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารได้เปิดเผยกับ Nikkei Asia ว่ากองทุน Metaverse นี้จะเริ่มลงทุนในปี 2023 ซึ่งจะเน้นไปที่สิทธิในทรัพย์สินดิจิทัลโดยต้องการผลักดันให้ทรัพย์สินดิจิทัลได้รับการยอมรับในฐานะทรัพย์สินทางกายภาพในระบบกฎหมาย

Animoca Brands ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในนักลงทุนที่โดดเด่นที่สุดในโลกคริปโทฯ ที่มุ่งเน้นด้าน Metaverse และในเดือนกันยายนที่ผ่านมาบริษัทก็ระดมทุนได้ 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรอบการระดมทุนที่นำโดย Temasek, Boyu Capital และ GGV Capital โดยการระดมทุนได้ต่อเนื่องแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของตัวบริษัทและสายป่านที่ยาวสำหรับโปรเจกต์ต่างๆ ภายใต้ Animoca Brands ได้อย่างดี

Magic Eden มุ่งหน้าสร้าง NFT Marketplace สำหรับเกมบน Polygon

หลังจากที่ Magic Eden NFT Marketplace ระดับ Top 5 ในโลกคริปโทฯ และเป็นอันดับ 1 บน Solana Blockchain ได้ประกาศเข้ามาทำตลาดใน Polygon Blockchain ($MATIC) เมื่อเดือนก่อน

ล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ Magic Eden ได้มีการจ้าง Chris Akhavan เข้ามาเป็น Chief Gaming Officer โดยมุ่งเน้นการสร้าง NFT Marketplace และ Launchpad สำหรับโปรเจกต์ GameFi & Metaverse บน Polygon Network

Chris เคยเป็น Chief Business Oficcer ที่ Forte ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ Blockchain Game ที่เคยระดมทุนไปได้ 725 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 และยังเคยเป็น Chief Revenue Officer ให้กับ Glu Mobile ที่ถูกซื้อไปโดย Electronic Art (EA) ที่ราคา 2,400 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ Chris ยังมีตำแหน่งเป็น Advisor ให้กับ Game7 ที่เป็นกองทุนมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สำหรับ Web3 Gaming ที่บริษัทด้วย DAO อีกด้วย

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของ Chris จึงเป็นที่น่าจับตามองพวกเขาจะพา Magic Eden มาแจ้งเกิดบน Polygon Network ได้หรือไม่ ซึ่งถ้าไปได้สวยก็น่าจะเป็นผลดีกับทั้งส่วน GameFi&Metaverse และ Polygon Network

.

คำเตือนความเสี่ยง : คริปโทเคอร์เรนซี่มีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

Author

Share :
Related
อัปเดทสำคัญ EigenLayer Mainnet มีอะไรที่นักลงทุนควรรู้บ้าง
Monad ระดมทุนได้ 225 ล้านดอลลาร์นำโดย Paradigm - ลุ้น Airdrop ยังไงดี ?
เจาะลึก Injective: บล็อกเชนตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อ DeFi โดยเฉพาะ
อัปเดททุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ Restaking และ LRT