สรุป CoinTalk ประจำวันที่ 16/9/2022

Macroeconomics

• ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐประกาศออกมามากกว่าที่คาดการณ์ที่ 8.3% ทำให้กดดันตลาดคริปโทฯช่วงนี้ โดยนอกจากคริปโทฯ แล้ว ตลาดหุ้นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยการประชุม Fed ครั้งหน้าจากเดิมที่ตลาดมองว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% นั้นเปลี่ยนเป็น 1% โดย Ray Dalio ยังออกมาบอกว่าปลายปีอาจจะได้เห็นดอกเบี้ย 4% โดยการที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยตรง เพราะผลตอบแทนพันธบัตร 1 ปีอยู่ที่ 3.8% ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีที่ 3.4% ทำให้หลายคนขายสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงคริปโทฯและไปถือพันธบัตรแทน
• ทางเรามองว่า Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ โดยที่ไม่น่าจะขึ้นเกินไปกว่า 4% เพราะถ้าขึ้นมากกว่านี้จะเป็นการเปิดความเสี่ยงหลายๆอย่างในขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกยังอ่อนแอ เพราะปัจจัยอย่างเช่น ในขณะที่ตอนนี้ Debt-to-GDP Ratio ของสหรัฐฯอยู่ที่มากกว่า 200% และปัจจัยที่ว่ายุโรปและญี่ปุ่นยังมี Asset เป็นพันธบัตรสหรัฐฯในจำนวนมาก
• อีกแนวคิดหนึ่งคือ Indicator หลายๆอย่าง เช่น CPI นั้นเป็น Lagging Indicator ที่เทียบกับปีก่อน ดังนั้นเงินเฟ้อและดอกเบี้ยของปีนี้น่าจะ Price in ไปหมดแล้ว และหลังจากนี้ ถ้าดูประกอบกับราคา Commodity เช่น ทองคำ น้ำมัน ที่ปรับตัวลดลงอาจกำลังบ่งบอกถึงภาวะ Deflation ที่กำลังจะมาถึง ทำให้ Fed อาจจะต้องลดดอกเบี้ยในที่สุด
• สำหรับการลงทุนในคริปโทฯช่วงนี้ ทางเรามองว่าราคา BTC อาจจะตกลงไปถึง $15000-$16000 ได้จากสภาวะเศรษฐกิจที่อาจจะยังไม่ Bottom แต่ที่ผ่านมาตลาดคริปโทฯก็ผ่านวิกฤติของ 3AC และถูกบังคับขายไปเยอะมากแล้ว ทำให้มองว่าราคาตอนนี้เป็นจุดที่น่าสนใจซื้อ Spot สะสมเหรียญใหญ่หรือเหรียญที่พื้นฐานดีที่มีรายได้สูงเพื่อลงทุนระยะยาวได้ โดยอาจแบ่งส่วนหนึ่งเก็บเป็น Stablecoin สัก 50%

DeFi/Alt Coins

• แนวคิดแรกที่ทางเรามีเกี่ยวกับ The Merge คือทางเรามองว่าจะทำให้ ETH มีความน่าสนใจเพราะว่า Supply จะเพิ่มน้อยลงกว่าเดิมมาก จากเดิมที่มีการผลิตประมาณ 16600 ETH/วัน จะลดลงเหลือราวๆ 1600 ETH/วัน รวมกับมีแรงเทขายจากนักขุดน้อยลงและปัจจัยทางด้านจิตวิทยา อาจทำให้ในอีกประมาณ 1 ปีข้างหน้าถ้าสภาวะตลาดไม่แย่เกินไป ราคา ETH อาจจะกลับไปที่ High เดิมที่ประมาณ $3000-$4000 ได้ โดยเหตุผลที่คาดว่าจะใช้เวลา 1 ปีเพราะเทียบกับการ Halving ของ BTC ที่ใช้เวลาประมาณ 1 ปีเช่นกันจึงจะมีผลสะท้อนมาที่ราคา
• อีกแนวคิดหนึ่งที่ทางเรามีเกี่ยวกับความเสี่ยงของ The Merge คือก่อนหน้านี้มีการ Hype กันมาเยอะมาก และราคาอาจปรับตัวลงได้ และถึงแม้ว่า Supply จะลดลงเยอะมาก แต่ก็ต้องมี Demand มารองรับด้วยจึงจะสามารถทำให้ราคาปรับขึ้นได้ และการที่จะมี Demand เพิ่มขึ้นต้องอาศัย Application ที่ดีและน่าสนใจใหม่ๆเข้ามาใน Ethereum Ecosystem นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากปัญหาสภาพคล่องที่เกิดจากนโยบายการเงินที่อาจเป็นอีกความเสี่ยงอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างคือการที่ ETH จะ Flip BTC ได้จะต้องมีการรองรับจากสถาบันด้วย ซึ่งก็ยังไม่เห็นการรองรับ ETH จากสถาบันเท่า BTC ในตอนนี้

• หนึ่งเหรียญที่น่าสนใจตอนนี้คือ FOLD ของแพลทฟอร์ม Manifold ซึ่งมี Product สองอย่างคือ Open MEV และ Secure RPC โดย Monifold จะสร้างรายได้จาก MEV โดยการ Frontrun หรือ Sandwich Attack ธุรกรรมต่างๆ โดยก่อนหน้านี้คนที่ได้ประโยชน์จากรายได้ส่วนนี้คือ Flashbot และ Miner ซึ่ง Manifold จะเป็นแพลทฟอร์มที่เข้ามาสร้างรายได้และแบ่งให้กับคน Stake เหรียญ FOLD ทำให้คนทั่วไปสามารถมีรายได้จาก MEV ได้ ความน่าสนใจของ Manifold คือมีความเชี่ยวชาญด้านการสร้าง Flashbot มาก่อนและยังเป็น Node เองด้วยทำให้มีความได้เปรียบ นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าแรกๆที่เข้ามาจับตลาดส่วนนี้ที่ยังมีผู้เล่นไม่มาก ซึ่งคู่แข่งมีสองเจ้า คือ Hashflow และ Cowswap ที่ทำ MEV แค่ในแพลทฟอร์มของตัวเองเท่านั้น แตกต่างจาก Manifold ที่สามารถไป Integrate กับแพลทฟอร์มอื่นได้ ส่วน Roadmap ก็มีแผนจะเพิ่ม Product อื่นๆอีกในอนาคตและล่าสุดยังมีการนำ Open MEV และ Secure RPC ไป Integrate กับ UniSwap V2 และ SushiSwap ทำให้มีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต โดยขณะนี้มี FDV ที่ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ส่วนปัจจัยความเสี่ยงคืออาจจะมีคนเข้ามาทำแข่งและการที่ MEV มีความซับซ้อน เข้าใจยาก ถ้าคนทั่วไปไม่เข้าใจ Concept ก็อาจจะไม่มีเงินใหม่เข้ามาลงทุน

คำเตือนความเสี่ยง

คริปโทเคอร์เรนซี่มีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้