Macroeconomics: Fed จะคงดอกเบี้ยนานแค่ไหน
- ตลาดกว่า 99.8% เชื่อว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบหน้าไปสู่ระดับ 5.25-5.5% แน่นอน ซึ่งประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาต่อหลังจากนี้จะไม่ใช่เรื่องว่าจะขึ้นดอกเบี้ยไหม แต่จะเป็นว่า Fed จะคงดอกเบี้ยเอาไว้นานแค่ไหน
- ถ้าจะประเมินว่า Fed จะคงดอกเบี้ยไว้นานแค่ไหน อย่างแรกคือดูได้จาก Jobless claims ซึ่งออกมาต่ำกว่าที่คาด, Wage growth พุ่งสูงทำ All-time high, Core CPI เพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน แสดงว่าคนยังมีเงินในการจับจ่ายใช้สอย ทำให้เงินเฟ้ออาจจะปรับตัวลงสู่ระดับที่ Fed ตั้งเป้าไว้ที่ 2% ยาก ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า Fed อาจจะต้องคงดอกเบี้ยไว้นานได้
- อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามาดูในส่วนตลาดค้าปลีก ซึ่งตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด แสดงว่าค้าขายไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้บริษัทจดทะเบียนเริ่มได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยสูง กำไรลด ต้นทุนจากเงินกู้เพิ่มขึ้น ถ้า Fed คงดอกเบี้ยไว้นาน ก็อาจจะเกิด Hard landing ได้ นอกจากนี้ 2-Year Bond Yield พุ่งขึ้นสูงขึ้นสู่ระดับ 5% นอกจากนี้ Inverted Yield Curve ยังบ่งชี้ว่าผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงสองปีสูงกว่าระยะยาว 10 ปี บ่งชี้โอกาสที่จะเกิด Recession ถ้าดูจากประเด็นเหล่านี้ Fed ก็จะต้องระมัดระวังในการคงดอกเบี้ยระดับสูงไว้นานๆ
- นักวิเคราะห์ให้แง่คิดในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและคริปโตฯไว้ว่า ภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง ให้ติดตาม FOMC ในวันที่ 26-27 กรกฎาคมนี้ ส่วนการลงทุนมองว่าจะหาจุด Bottom คงจะยากมาก อาจใช้การทยอยลงทุน (DCA) ได้ โดยเฉพาะในเหรียญที่แข็งแกร่งอย่าง BTC, ETH โดยนักวิเคราะห์มองว่า Altcoin ยังเสี่ยงสูงเพราะจุดนี้ BTC Dominance ยังสูงอยู่ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์เพิ่มว่าอาจจะ DCA ได้จนถึง Q3-Q4 2023 เพราะหลายๆคนมองว่ามีความเป็นไปได้ว่า Bull run อาจจะฉีกจากรอบก่อนๆคืออาจจะมาชนกับ Bitcoin halving พอดีและเป็นช่วงที่ภาพเศรษฐกิจน่าจะชัดขึ้น
- อีกปัจจัยบวกที่สำคัญคือ Bitcoin ETF ที่นักวิเคราะห์มองว่าจะเป็นปัจจัยดันตลาดที่สำคัญอีกอย่างในรอบหน้า
Altcoin และเทรนด์ที่น่าจับตา
- Update สถานการณ์ Binance: ตอนนี้ 7-day outflow เริ่มติดลบแล้วที่ 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโดยรวมยังไม่มีอะไรน่ากังวล แต่ก็ควรคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
- OP, ARB: ช่วงนี้ OP ราคา Outperform เหรียญ ARB (จากก่อนหน้านี้ที่ ARB มักจะ Outperform OP มาโดยตลอด) ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าการที่ OP มา Outperform ในช่วงนี้อาจมาจาก Celo และ Mantle มาใช้ OP stack แต่ราคาก็ขึ้นจากหลุมมาเยอะแล้ว จึงควรระมัดระวัง
- Stader (SD): เป็นเหรียญที่นักวิเคราะห์มองว่า Mcap ยังต่ำมาก เทียบกับ Liquid staking ตัวอื่น โดย Stader ก็ถือเป็นหนึ่งแพลตฟอร์ม LSD อันดับต้นๆ และเพิ่งเปิดการ Stake สำหรับ Ethereum เพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ Backer ยังเป็นเจ้าดังหลายเจ้า เช่น Pantera Capital, Coinbase Ventures, Jump Crypto เป็นต้น อีกส่วนอาจเป็นการ Bet เผื่อจะได้ลิสต์บน Exchange ใหญ่อย่าง Coinbase, Binance
- LSD: กลุ่มนี้ราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะหลัง Shanghai upgrade เพราะว่าก่อนหน้านี้คนคาดหวังว่าปริมาณการ Stake จะเพิ่มขึ้น แต่พอเอาเข้าจริงพบปัญหาเรื่องคอขวดจากการเข้าคิวการมาร่วมเป็น Node นานพอสมควร อย่างตอนนี้คนมาเข้าคิวใหม่อาจจะต้องรอนานมากกว่า 30 วัน เลยอาจทำให้คนเทขายเนื่องจาก Growth ไม่เร็วอย่างที่คาด แต่นักวิเคราะห์มองว่าพื้นฐานยังดี คนมารอต่อคิวเยอะขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่ายังมี Demand การใช้งาน
- SSV: ที่มาของ SSV Network คือการจะเป็น Staking Node ของ Ethereum จะต้องถือ 32 ETH หรือยืมคนอื่น แต่ DVT ของ SSV จะทำให้มาร่วมมือกันสร้าง Node ได้ โดยทาง Lido, Rocketpool และ Stader ก็ประกาศแล้วว่าจะมาใช้บริการของ SSV นอกจากนี้นักวิเคราะห์มองว่าโปรเจกต์ที่ทำบริการนี้ก็มีแค่สองเจ้าคือ Obol และ SSV ซึ่ง Obol ยังไม่มีเหรียญ
- AAVE: เปิดตัวเหรียญ GHO ที่เป็น Stablecoin แล้ว โดยนักวิเคราะห์มองว่า่าจับตามมองอย่างมาก เพราะจะมีหลากหลายวิธีในการ Mint stablecoin ได้ โดยตอนนี้สร้างได้ 6 วิธีด้วยกัน ที่น่าสนใจคือการใช้ Credit score นักวิเคราะห์มองว่ายังเติบโตได้อีกเยอะ และรายได้ที่ได้จะเข้าคนถือเหรียญทั้งหมด (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)
- MKR: นักวิเคราะห์มองว่าข้อดีคือเหรียญ MKR ใกล้จะปลดครบ Total supply แล้ว ตอนนี้เริ่มกลับมา Buy back แล้วด้วยหลังจากที่ห่างหายไปนาน นอกจากนี้จะมีการ Buy back และนำไปใช้ทำสภาพคล่องแบบถาวร เป็นการแก้ปัญหา Toxic liquidity โดยความน่าสนใจที่นักวิเคราะห์มองอีกอย่างคือทางทีมมีการซื้อ US treasury bond มูลค่ามากกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาเป็น Back stablecoin และลดการพึ่งพา USDC ด้วย
- LINK: เพิ่งเปิดตัว CCIP ไป (CCIP คล้ายกับ LayerZero) ซึ่งคาดว่าจะเป็นการสร้างการเติบให้กับ Chainlink ecosystem ได้ในระยะยาว นอกจากนี้ปีที่แล้วเปิด Staking ไปแล้ว แต่ปีนี้ก็มี Roadmap จะทำเพิ่ม เช่น Chainlink BUILD เป้าหมายหลักคือสร้างรายได้แบบยั่งยืนแบบไม่ต้องพึ่ง Emission ให้กับผู้มีส่วนรวมใน Chainlink ecosystem
- UNIBOT: เป็นโปรเจกต์ที่ให้เรา Execute trade ผ่าน Telegram ได้ (เร็วกว่า uniswap 6 เท่า) มีโมเดลรายได้ชัดเจน (40% เข้า Holder, อีก 60% เข้าโปรโตคอล) รายได้บอกชัดว่าจะเอาไปทำอะไรบ้าง นักวิเคราะห์มองว่าความน่าสนใจคือ มี Private transaction ป้องกัน MEV ได้ และยังมี Node เป็นของตัวเอง อีกความน่าสนใจที่นักวิเคราะห์บอกคือ Mcap ยังเล็กอยู่แต่ว่าเริ่มเก็บค่า Fee ได้เยอะ และ Volume เริ่มเยอะ แต่ความเสี่ยงคือเหรียญยังใหม่ ราคาขึ้นมาเยอะแล้ว ควรระมัดระวัง
- Alphascan: เป็นแพลตฟอร์มที่เอาไว้ดูว่าเหรียญไหนเป็นที่พูดถึงกันมากบน Twitter ได้ ลองไปใช้งานดูได้ เผื่อในอนาคตมีแจก Airdrop
- MOON: เป็นเหรียญของ Reddit เพื่อให้เป็นรางวัลแก่ผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมใน Subreddit r/CryptoCurrency (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)
.
คำเตือนความเสี่ยง : คริปโทเคอร์เรนซี่และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต