เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีอีเว้นท์ใหญ่สำหรับชาว Ethereum ที่หลายคนตื่นตาตื่นใจ นั่นก็คืองาน EthCC 2023 ซึ่งเป็นงาน Conference ประจำปีที่จะรวมเหล่า Ethereum Community ทั้งฝั่ง Devs ในโปรเจคต่างๆรวมถึงฝั่ง Users จากหลากหลายทั่วทุกมุมโลก
เกี่ยวกับงาน EthCC 2023
Ethereum Community Conference 2023 Paris
โดยถ้าให้เปรียบเทียบระดับสเกลงานก็เปรียบเสมือนงาน WWDC ของ Apple ที่จะจัดขึ้นทุกปีโดยเน้นโชว์ถึงการพัฒนาฟีเจอร์ Software ต่างๆ ซึ่งถือว่า EthCC ก็เป็นที่ตั้งตารอสำหรับคอ Devs หลายๆคนและที่สำคัญก็จะได้พบกับเหล่า Ethereum Founder เช่น Vitalik Buterin กันตัวเป็นๆ
โดยบทความนี้จะมาอัพเดทเกี่ยวกับโปรเจคเด่นๆในงาน EthCC 2023 กันว่ากำลังพัฒนาอะไรและจะมีฟีเจอร์อะไรใหม่ๆมาให้ Users ได้ใช้งานกันบ้าง
*บทความนี้เป็นการแปลและเรียบเรียงมาจาก Bankless
1.Lens Protocol V2
เริ่มที่โปรเจกต์โด่งดังอย่าง Lens Protocol ที่หลายคนได้เข้าไปจับจอง NFT Profile เพื่อเกร็งแอรดรอปไปนั่นเอง โดยเป็นโปรเจคที่ทำในส่วนของ Decentralized Social Media ซึ่งล่าสุดภายในงาน ทางทีมก็ได้ ประกาศออก Lens Protocol V2 ซึ่งมาดูกันว่าจะมีอัพเกรดอะไรบ้าง
เริ่มจากอย่างแรกคือทีมเปิดให้สามารถนำ Lens Protocol ไปต่อกับ External Smart Contract หรืออธิบายงายๆคือเปิดให้ใครก็ตามสามารถนำ API ไปต่อยอดจนเกิดเป็น 3rd Party Actions นั่นเอง จะทำให้ใครก็ตามสามารถมาต่อยอดฟีเจอร์ใหม่ๆบน Protocol และยังเปิดให้สามารถใช้งานแบบ Cross-chain ได้ด้วย
และยังมีฟีเจอร์ชื่อ Profile Manager ที่ใช้มาตรฐาน NFT แบบ ERC-6551 ที่จะทำให้ Content ที่ User นั้น Collect ไว้ สามารถฝังเข้ากับ Lens Profile ของเราได้เลย ซึ่งแบบเก่าที่ 1 Content = 1 NFT ทำให้เกิดปัญหาหากเราโอน Lens Profile ไปให้คนอื่น Content ของ Profile นั้นจะไม่ไปด้วย ถือว่าช่วยเสริมด้าน UX ให้ดีขึ้นพอสมควร
2.UniswapX
ในส่วนของ UniswapX ทางทีม Cryptomind Research ก็เคยปล่อยบทความไป สามารถตามอ่านได้ที่นี่เลย https://cryptomind.group/research/uniswapx-free-gas-mev-protection/
Uniswap ได้เปิดตัว Uniswap X ไปในงาน EthCC ซึ่งเป็น Protocol ที่ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์การซื้อขาย crypto ที่ดียิ่งขึ้น โดยระบบเบื้องหลังจะเป็นแบบ Dutch Auction ซึ่งมีอธิบายในบทความด้านบน และที่สำคัญก็ได้มุ่งเน้นไปที่ User Experience (UX) ในการทำ Gas-Free Transaction ที่ไม่ต้องจ่ายค่าแก้ส(Gas)ในการทำธุรกรรม ไม่เสียแก้สเมื่อธุรกรรมล้มเหลว และยังป้องกัน MEV ในการทำ Sandwich Attack อีกด้วย
*สำหรับใครที่สนใจรายละเอียดเต็มๆ *สามารถอ่าน Whitepaper ได้ที่นี่
3.Chainlink CCIP
ต่อมากับมูฟที่สำคัญมากกับ Chainlink นั่นก็คือการเปิดตัว CCIP หรือชื่อเต็มคือ Cross-Chain Interoperability Protocol โดยสิ่งนี้ได้ออกแบบเพื่อการสื่อสารกันระหว่างบล็อกเชน(Blockchain) แบบไร้รอยต่อ ระหว่าง Ethereum, Optimism, Polygon และ Avalanche ซึ่งถูกนำไปใช้งานโดย Defi เจ้าใหญ่ๆอย่าง Aave และ Synthetix
โดยคุณ Sergey Nazarov (co-founder of chainlink) เทคโนโลยีนี้เทียบเท่ากับ TCP/IP ในวงการการเงินเลยทีเดียว โดย CCIP เกิดมาเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับ Defi Protocols ต่างๆให้ใช้งานได้หลากหลายและสะดวกมากขึ้นในแง่ Cross-chain
4.Starknet Appchains
ปัจจุบันจากเทรนด์เราก็จะเห็นว่ามีการแข่งขัน Layer 2 อย่างดุเดือดทั้ง Optimistic Rollups และ Zk-rollups ซึ่ง Starknet เองก็อยู่ในสมรภูมินี้ด้วยเช่นกัน
โดย Starknet ก็ได้ประกาศออกมาเด็ดโดยการประกาศทำ Appchains ที่จะเป็นเชนที่ต่อยอดบน Starknet อีกทีเป็น Layer 3 เพื่อช่วยลดความแออัด เพิ่มจำนวน TPS และที่สำคัญยังสามารถรองรับ Native Account Abstraction ได้ โดยทั้งหมดนี้สร้างมาเพื่อแข่งกับ Optimism (Superchain), Arbitrum (Orbit) และ Zksync (hyperchains)
5.Gnosis Pay
ต่อมาเป็นโปรเจคของทาง Gnosis ที่มี Products ทั้งการทำ Gnosis Chain และ Multisig Wallet ซึ่งล่าสุดทางทีมก็ได้ประกาศทำอีก Product เพิ่มขึ้นมานั่นก็คือ Gnosis Pay และ Gnosis Card เพื่อต้องการให้เกิดระบบ Decentralized Payment Network ที่เชื่อมต่อระหว่าง Visa Debit สู่โลก On-chain และ Crypto Wallet นั่นเอง
Gnosis Card ที่จะเป็นเสมือน Debit Card ที่เราสามารถใช้จ่ายได้เลยโดยที่ไม่จำเป็นต้องโอนเงินไป CEX เพื่อขายเป็นเงิน USD หรือ THB ในการใช้จ่ายในชีวิตอย่างยุ่งยาก และจะยังมี Gnosis Pay ที่ช่วยทำให้ User นั้นเกิดการใช้จ่ายและโอนด้วยคริปโตได้สะดวกยิ่งขึ้น
6.Mantle
และไม่นานมานี้เองเชน Layer 2 ก็ได้เกิดผู้เล่นใหม่ในตลาดเข้ามาแข่งนั่นก็คือ Mantle ที่พึ่งประกาศ Mainnet ไปไม่นานในงาน EthCC 2023 โดยตอนนี้ยังอยู่ใน Phase ที่เน้นดึงดูดให้นักพัฒนา(Dev) ได้เข้ามาสร้าง Dapps ต่างๆและทดสอบระบบ โดยต่อไปก็จะไปสู่แผนการเปิด Full mainnet ในอนาคต
อย่างไรก็ตามความเด่นของ Mantle คือเป็น Modular Blockchain Layer 2 ที่มีการบันทึกข้อมูลลงบน EigenLayer ในการทำ Data Availability(DA) แทนที่การบันทึก Call Data ลงบน Ethereum Mainnet ซึ่งจะช่วยให้เชนนั้นเร็วและถูกมาก สามารถรองรับการขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
7.Linea alphas
การประกาศเปิดตัว Linea alphas mainnet ภายในงาน EthCC 2023 โดยเริ่มเปิดให้คนสามารถใช้งาน Bridge ได้จาก Ethereum Mainnet ซึ่ง Linea ถือว่าเป็นเชนที่ค่อนข้างเป็นที่จับตามองเพราะ ถูกพัฒนาด้วยทีมที่มีชื่อเสียงอย่าง Consensys มีการระดมทุนอย่างมหาศาล และยังมีเทคโนโลยีที่สำคัญอย่าง zkEVM ที่สามารถทำให้เกิดเป็นเชน Zk แบบ EVM Equivalence ได้นั่นเองซึ่งง่ายต่อนักพัฒนาในการใช้ภาษา Solidity เพื่อพัฒนา Dapps ต่างๆ
8. EVM extends
การยอมเข้าร่วมกับ Solidity จากเชน Non-EVM ต่างๆ โดย Tezos และ Solana ต่างพยายามทำให้นักพัฒนา Ethereum โยกย้ายไปยังเชนของตนได้ง่ายขึ้น และประกาศการปรับปรุงในช่วง EthCC
Tezos เสนอ “Etherlink” ที่ EthCC ซึ่งเป็น Solution ให้เชนตนเองสามารถ Compatible กับ EVM ได้ ในขณะเดียวกัน Solana เองก็ได้ประกาศเปิดตัว Solang ซึ่งเป็น Complier ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเขียน Smart Contract บน Solana โดยใช้ภาษา Solidity ได้นั่นเอง
สรุปภาพรวม
โดยถ้าสรุปจาก 8 โปรเจคดังกล่าวก็จะเห็นพัฒนาการหลักๆอยู่ 2 ด้าน
1.Infrastructure ประกอบด้วย Chainlink CCIP, Starknet Appchains, Gnosis Pay, Mantle, Linea alphas และ EVM extends
2.Blockchain Service / WEB 3.0 ประกอบด้วย Lens Protocol V2, UniswapX
ซึ่งจากข้อดังกล่าวสอดคล้องกับประเภททิศทางการลงทุนของ VCs ชื่อดังอย่าง A16Z โดยเน้นลงทุนในโปรเจคด้าน Infrastructure และ Blockchain Service ในช่วงตลาดหมีนี้เอง ซึ่งเป็นสัญญานของการเตรียมตัวพัฒนาเพื่อรอการเกิด Mass Adoption ครั้งใหญ่มาสู่ Blockchain และ WEB 3.0 นั่นเอง