เกริ่น
การเกิดขึ้นมาของ Stacks เปิดโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆมากมายบน Bitcoin อีกทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องพูลค่าธรรมเนียมบน Bitcoin L1 อีกด้วย แต่แน่นอนว่าในช่วงแรก การพยายามต่อยอดด้วยการสร้าง Smart Contract เพื่อให้เกิดความเป็นไปได้ที่หลากหลายไม่ได้ถูกยอมรับมากนักในชุมชน Bitcoin จนกระทั่ง Ordinals เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมอย่างมากมายในชุมชนชาว Bitcoin
พื้นฐานของ Bitcoin L1 และปัญหาต่างๆ
ราคา Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ รอบฮาล์ฟวิง
ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่การเกิดของ Bitcoin เราได้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทั้งในด้านของการยอมรับที่แพร่หลายขึ้นและในด้านของราคา
แม้ว่าทุกรอบฮาล์ฟวิงทุกๆ 4 ปีที่ผ่านมาจะเกิดการลดรางวัลจากการขุดลงครึ่งนึงทุกครั้ง แต่การขึ้นของราคาที่มากกว่า 2 เท่าทุกรอบที่ผ่านมาทำให้รางวัลจากการขุดยังคงเพียงพอสำหรับการดำเนินการ อีกทั้งยังทำให้จำนวนนักขุดเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆอีกเช่นกัน และเมื่อมีคนเข้ามามีส่วนร่วมในระบบมากขึ้น สิ่งนี้จะยิ่งส่งเสริมความปลอดภัยในระบบให้เข้มแข็งขึ้นอีกด้วย
การเจริญเติบโตนี้ยั่งยืนหรือไม่?
เมื่อ Bitcoin เติบโตเป็นสินทรัพย์ที่มูลค่าตลาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คำถามที่ตามมาคือ ราคาของ Bitcoin จะยังสามารถคงอัตราการเจริญเติบโตเพื่อให้หักล้างกับรางวัลการขุดที่ลดลงครึ่งนึงทุกรอบ 4 ปีได้อย่างยั่งยืนหรือไม่?
หากลองสมมติการคำนวณว่า Bitcoin จะคงอัตราการเติบโตที่ 2 เท่าทุกๆรอบฮาล์ฟวิงได้ จะทำให้ภายใน 5-6 ฮาล์ฟวิงต่อจากนี้ (ราวๆ 20-24 ปี) Bitcoin จะมีมูลค่าตลาดใหญ่กว่าปริมาณเงินในมือของคนทั้งโลกรวมกัน (เรียกว่าปริมาณเงิน M2)
การคำนวณนี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการคงอัตราการเติบโตแบบนี้ เนื่องจากปริมาณเงินในโลกไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่จะเพียงพอในการรองรับการเติบโตแบบนี้ไปตลอด
เราแก้ไขอะไรได้บ้าง?
Bitcoin มีสองทางเลือกในการพัฒนาและแก้ไขเพื่อจะให้เกิดความยั่งยืนและดำเนินการต่อด้วยความปลอดภัย
- ยกเลิกจำนวนจำกัดที่ 21 ล้าน Bitcoin และเพิ่ม Tail Emissions หมายถึง การสร้างเหรียญออกมาเรื่อยๆแม้จำนวนจะเกินจำนวนจำกัดแล้วเพื่อเป็นรางวัลตอบแทนนักขุดต่อไปและแทนที่ในส่วนเหรียญที่หายไปจากหลายหลายสาเหตุ เช่น Bitcoin ที่หายจากการลืม Private Key แต่วิธีนี้ก็ยังมีปัญหาในหลายๆด้าน:
- อย่างแรกคือ การจำกัดจำนวน Bitcoin ที่ 21 ล้าน เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ Bitcoin มีมูลค่าในฐานะการเก็บรักษามูลค่า(Store of Value) การยกเลิกจำนวนจำกัดนี้ไปจะทำให้จุดเด่นนี้หายไปด้วยเช่นกัน
- อย่างในที่สองคือ ในไวท์เปเปอร์ของ Bitcoin มีการพูดถึงการพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมการใช้งานมากกว่าในระยะยาว การสร้าง Tail Emission ในลักษณะนี้จะเป็นการละทิ้งการออกแบบดั้งเดิมของซาโตชิ และถือเป็นความพ่ายแพ้ของเหล่าบิทคอยน์เนอร์
- อย่างสุดท้ายคือ สินทรัพย์ที่มีการเฟ้ออยู่ย่อมมีคุณสมบัติในการเป็น Store of Value ที่แย่กว่าสินทรัพย์ที่มีจำนวนจำกัดและยังสามารถในการคงความปลอดภัยไว้ได้ดี เพราะฉะนั้นแนวคิดที่จะทำให้เกิดการเฟ้ออย่างถาวรเป็นการขัดกับหลักการของการเก้บรักษามูลค่า
- การทำให้พูลค่าธรรมเนียมที่ได้รับยั่งยืนขึ้น จากปัญหาในข้อ 1. ทำให้คิดได้ว่า การหาวิธีทำให้เกิดค่าธรรมเนียมที่ยั่งยืนขึ้น เป็นวิธีที่น่าสนใจกว่ามากและตรงตามวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Bitcoin อีกด้วย ถ้าทำให้ส่วนนี้สำเร็จได้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยกเลิกจำนวนจำกัดและเพิ่ม Tail Emssions ขึ้นมา
ความยากในการพัฒนาบน Bitcoin
Bitcoin เป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่มูลค่าตลาดใหญ่ที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีการต่อยอดและสร้างเศรษฐกิจในเครือข่ายที่ยังน้อยมาก แน่นอนว่าการเข้าไปต่อยอดในระบบ Bitcoin โดยตรงจะติดกับข้อจำกัดหลายอย่างจากปัญหาทางเทคนิคที่พัฒนาค่อนข้างยาก
Bitcoin ถูกออกแบบมาให้มีความง่ายและตรงไปตรงมามากที่สุดในฐานะเงินดิจิตอลที่มีความกระจายศูนย์ โดยระบบนี้ไม่ได้มาการออกแบบให้รองรับระบบที่มีความซับซ้อนไปกว่านั้นมาก ทำให้การพยายามเข้าไปใช้งานกับอะไรที่ซับซ้อน ระบบจะทำงานอย่างไม่เป็นประสิทธิภาพ ซึ่งต่างกับ L1 ที่ถูกคิดค้นเพื่อรองรับ Smart Contract โดยเฉพาะ
การมาของโซลูชัน L2
ถึงแม้ว่าการพัฒนาในส่วนนี้จะยาก แต่ถือเป็นโอกาสใหญ่ในการค้นหาวิธีต่อยอดบน Bitcoin อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะดึงดูดการใช้งานเพื่อเก็บรวบรวมค่าธรรมเนียมจากการใช้งานได้มากขึ้นด้วย
Stacks เป็นความพยายามในการแก้ไขปัญหาความยากในการต่อยอดบน Bitcoin L1 ด้วยการสร้าง Layer 2 ขึ้นมาเพื่อให้รองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้นโดยยังได้รับความปลอดภัยมาจาก L1
เปรียบเทียบ Stacks กับ L2 ตัวอื่นๆบน Bitcoin
ในปัจจุบัน Bitcoin มี L2 หลักอยู่ 3 ตัวที่ใช้งานกัน คือ Lightning, RSK, Stacks ซึ่งมีความแตกต่างกับ L2 บนเชนอื่นๆแบบ Ethereum อยู่ (จะนำมาอธิบายเพิ่มเติมภายหลัง) L2 ทั้งสามตัวมีการใช้งานที่แตกต่างกันแต่ต่างส่งเสริมกัน
ในบรรดา L2 ของ Bitcoin Stacks มีการพัฒนาอย่างก้าวหน้าที่สุดในเรื่องของการพัฒนา แอปพลิเคชันทั่วไปในโลกคริปโต และเมื่อเทียบกับ L2 ประเภทอื่นๆแล้ว:
- Stacks มีเครือข่ายของ NFT ที่ก้าวหน้าที่สุดในตอนนี้
- Stacks มีการรองรับการจดโดเมนชื่อ .BTC (Name Services)
- Stacks มีแอปพลิเคชันบน DeFi ที่เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ และจะต่อยอดได้มากขึ้นอีกหลังจากการอัพเกรดภายในปีนี้
- Stacks เป็น L2 ตัวเดียวใน 3 ตัวที่พูดถึงที่มีโทเคนประจำ L2 เอง
STACKS มีผู้ตรวจสอบธุรกรรมแยกส่วนกับนักขุดบน L1
Stacks ณ ปัจจุบันยังมีความแตกต่างจาก L2 ในฝั่ง Ethereum โดย Stacks มี Validator (ผู้ตรวจสอบธุรกรรม) แยกกันกับ L1 เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นขึ้นในการใช้งาน แต่ในอีกทางหนึ่งก็อาจจะไม่ได้มีความน่าเชื่อถือเท่าบน L1 เนื่องจากการมี Validator ของตัวเองที่จำนวนอาจไม่ได้เยอะพอจะทำให้มีความปลอดภัยที่แข็งแกร่งเท่า L1 เอง
แยกหน้าที่กันระหว่าง L2 และ L1
การต่อต้านการเซ็นเซอร์(Censorship Resistance)จะเป็นหน้าที่ของ L2
และการต่อต้านการ Reorg จะเป็นหนัาที่ของ Bitcoin L1
การต่อต้านการเซ็นเซอร์ไม่สามารถถูกทำมาจาก L1 ได้ เนื่องด้วยข้อจำกัดทางเทคนิคต่างๆ (หากอยากให้ทำจากบน L1 ได้ อาจจะต้องถึงกับปรับเปลี่ยนโครงสร้าง Bitcoin L1 ใหม่ทั้งหมด) สิ่งนี้จึงถูกนำมาทำบน L2 แทนผ่านผู้ที่เสตกเหรียญ STX ซึ่งแยกเป็นคนละส่วนกับนักขุดใน L1
ประโยชน์ที่เกิดจาก Stacks
จากการทำงานบน L2 นี้เอง ทำให้เกิดความเป็นไปได้ในการทดลองและค้นหาวิธีใหม่ๆในการสร้างเศรษฐกิจที่สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมกลับไปที่ L1 ได้มหาศาล และวิธีการนี้เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาของ Bitcoin ในปัจจุบัน
การพัฒนา L2 เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบันในการพัฒนาเศรษฐกิจบน Bitcoin ให้กว้างขึ้นและเพื่อให้เกิดค่าธรรมเนียมที่เยอะพอสำหรับความยั่งยืนในระยะยาวได้
หาก Bitcoin จะมีการพัฒนาให้รองรับ L2 ในรูปแบบที่คล้ายเคียงกับ Ethereum L2 ที่ได้รับความปลอดภัยมาจาก L1 อย่างเต็มรูปแบบ Stacks ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการเป็น L2 ในรูปแบบดังกล่าว สิ่งนี้จะยิ่งเพิ่มฐานการใช้งานบน Stacks (TAM) อีกด้วย
กำเนิดของ Stacks
Stacks เริ่มต้นขึ้นในปี 2017 จากภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย Princeton โดย Muneeb Ali และ Ryan Shea เป็นผู้ก่อตั้ง โดยจุดมุ่งหมายของ Stacks คือการเพิ่มความสามารถในการสร้างความสามารถที่สามารถเข้ากันได้กับ BTC (composability)
Muneeb มีประสบการณ์ในการออกแบบโปรโตคอลบน Bitcoin L1 ตั้งแต่ปี 2013 อย่างไรก็ตามในทางเทคนิคแล้ว การพัฒนาต่อยอดจาก Bitcoin L1 เองเป็นสิ่งที่ท้าทายและไม่ค่อยได้รับการยอมรับภายในชุมชน Bitcoin ในขณะนั้น แต่หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง การพัฒนาแบบ Stacks เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น
การอัปเกรด Nakamoto
ในด้านเทคนิค Stacks กำลังเข้าสู่การอัปเกรดใหม่ที่เรียกว่า Nakamoto ภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เห็นกันตาม L1 ทั่วไป เช่น Uniswap และ Opensea ให้เกิดขึ้นบน Bitcoin ผ่านการทำงานของ Stacks ได้ นอกจากนี้ Nakamoto จะทำให้เกิดเครือข่ายย่อย (subnets) ที่รองรับโค้ดภาษาอื่นๆ เช่น EVM และ Solidity ซึ่งเป็นการช่วยให้การพัฒนาในเครือข่ายเกิดขึ้นอย่างง่ายขึ้น
นอกจากนี้ Nakamoto ยังทำให้เกิด Bitcoin สังเคราะห์ (Synthetic Bitcoin) เพื่อให้สามารถย้าย Bitcoin จาก L1 ไปยัง L2 ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการใช้งาน และสร้างโอกาสในการเกิดแอปพลิเคชัน DeFi มากขึ้น
ปัญหาก่อนการอัปเกรด Nakamoto
ปัญหาหลักที่สุดที่ทำให้ Stacks ใช้งานยาก คือเวลาในการสร้างบล็อคที่ช้าจาก Bitcoin L1
หลังจากการอัพเกรด Nakamoto จะทำให้สามารถลดเวลาในการสร้างบล็อคจาก 10-30 นาที เหลือเพียงไม่กี่วินาที สิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักพัฒนาหลักของ Stacks ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัย Princeton คือ ความสามารถในการพิสูจน์การผ่านไปของเวลาระหว่างบล็อก Bitcoin ผลคือการใช้งานที่คล้ายกับการใช้งานบน Ethereum L2 แต่ถูกสร้างบน Bitcoin แทน
สิ่งนี้จะเปิดประตูสู่ฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่ที่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการอัปเกรด Nakomoto นอกจากนี้เครือข่ายย่อย (Subnets) ยังสามารถลดเวลาในการสร้างบล็อกลงได้เพิ่มเติมโดยการทดลองเพิ่มและลดระหว่างการกระจายศูนย์ (Decentralization)และความเร็ว โดยที่ไม่ลดความมั่นคงของชั้นฐานของ Stacks
อัปเกรด Nakamoto มาเมื่อไหร่?
การอัพเกรด Nakamoto คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 และจากการอัปเกรดที่ว่านี้เองจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาทางประสิทธิภาพของ Stacks ทำให้เป็น L2 ที่มีประสิทธิภาพที่สุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Bitcoin
Stacks L2 จะเป็นวิธีการพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่สุดที่สามารถสร้างบน Bitcoin ได้ในปัจจุบันโดยไม่ต้องเปลี่ยนพื้นฐานอะไรของ Bitcoin L1 เลย
หากจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างใน Bitoin L1 (ซึ่งมีความเป็นไปได้) Stacks ก็อาจจะพัฒนาความปลอดภัยให้เข้ากับ Bitcoin L1 ได้มากกว่านี้อีก รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอัปเกรดสามารถหาได้ในไวท์เปเปอร์ของ Stacks ที่ถูกเผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้ว
ความยืดหยุ่นในหมู่ชุมชน Bitcoiner ที่เพิ่มมากขึ้น
สื่งหนึ่งที่สังเกตุเห็นได้ คือการเปลี่ยนแปลงทางความคิดภายในชุมชน Bitcoin ตั้งแต่ราวๆปีที่แล้ว เริ่มมีการต่อต้าน Bitcoin Maximalism และยอมรับทัศนิคติที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการเปิดตัวของ Ordinals
Ordinals คือวิธีการในการบันทึกข้อมูลบน Satoshi หรือหน่วยย่อยของ Bitcoin ภายในบล็อกเชน ทำให้แต่ละ Satoshi เสมือนเป็นการเก็บข้อมูลคล้าย NFT หลังการเปิดตัวนี้เองทำให้เกิดการใช้งานที่เยอะขึ้นอย่างรวดเร็ว และเกิดค่าธรรมเนียมเครือข่ายถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับเดือนก่อน รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ในลิงก์นี้: Link
เมื่อปัญหาในระยะยาวเรื่องความมั่นคงในการรักษาความปลอดภัยชัดขึ้นเรื่อยๆ ชุมชน Bitcoin ก็เริ่มเกิดความยืดหยุ่นขึ้นในการพยายามพัฒนาเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาร่วมกันที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว สิ่งนี้เองยังทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นเรื่อยๆเมื่อคนเริ่มทำการยอมรับกันมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มในการใช้งาน Bitcoin Naming Service (BNS) หรือการตั้งชื่อ .BTC ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนเครือข่าย Stacks อย่างเห็นได้ชัด
ไดนามิกของการเพิ่มพูนในฐานผู้ใช้งานอย่างรวดเร็วทำให้เกิดผลหลักๆสองอย่าง
อย่างแรกคือ สิ่งนี้เกิดเป็นแรงบรรดาลใจภายในชุมชนให้เกิดการสร้าง พัฒนา และต่อยอดในระบบ Bitcoin มากขึ้น (Link)
อย่างที่สองคือ การพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาและความยากในการสร้างบน Bitcoin L1 ทำให้เห็นถึงความสำคัญในการพัฒนา L2 ได้อย่างชัดเจน
ทั้งสองปัจจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อ Stacks และจะช่วยนำเงินทุนและความพยายามพัฒนาเพิ่มเติมให้กับ Bitcoin L2 ณ ปัจจุบันมีทีมงานกว่า 30 ทีมกำลังพัฒนาบน Stacks (ซึ่งเรากำลังติดต่อและร่วมพัฒนากับอีกหลายทีม) ระบบนิเวศน์ Bitcoin เตรียมที่จะมีการพัฒนาสำหรับการรองรับการเข้ามาใช้งานที่เยอะขึ้นหลังจากอัปเกรด Nakamoto พร้อมด้วยกับการเปลี่ยนแปลงที่มีการยอมรับมากขึ้นภายในชุมชน เหมือนว่า Stacks กำลังจะมีโอกาสในการสร้างระบบ Bitcoin ที่กว้างขวางเร็วๆ นี้
Proof of Transfer?
STX มีความแตกต่างจากโทเคนอื่นๆ ผ่านการทำงานแบบ Proof of Transfer ซึ่งมีความคล้ายกับ Proof of Work นักขุดจะช่วยกันยืนยันธุรกรรมต่างๆ และทำการประมูลบล็อกต่างๆเพื่อที่จะได้รับ STX มาเป็นรางวัลสำหรับแต่ละบล็อก (ไม่เหมือน Proof of Work ที่ยืนยันธุรกรรมแล้วจะได้เหรียญมาเป็นรางวัลทันที)
เงินที่ใช้ในการประมูลการยืนยันบล็อกต่างๆคือ BTC ซึ่งจะถูกนำไปแจกจ่ายให้กับคนที่ทำการสเตก STX ในระบบ
ผลตอบแทนในระบบของ Stacks
ระบบการทำงานแบบนี้ จะทำให้นักขุดที่มาช่วยทำการยืนยันธุรกรรมต่างๆจะไม่ได้รางวัลทั้งหมด แต่จะถูกแจกจ่ายไปยังคนที่สเตก STX อีกด้วย สิ่งนี้จะทำให้เกิดผลตอบแทน BTC จริงสำหรับคนสเตก STX (ปัจจุบันผลตอบแทนอยู่ที่ราวๆ 7%) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรรมภายในเครือข่าย
เมื่อมีการใช้งานเยอะขึ้นและแต่ละบล็อกมีมูลค่ามากขึ้น ก็จะเกิดการประมูลที่สูงขึ้นจากนักขุดเช่นกัน ทำให้คนสเตก STX ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น สิ่งนี้ทำให้เกิดความน่าสนใจในมูลค่าของ STX แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในกรณีการลงทุน STX คือความไม่สมดุลของความเสี่ยงและผลตอบแทน (risk-reward)
เปรียบเทียบกับ ETH
Ethereum มีมูลค่าตลาดในปัจจุบันที่ราวๆ $200B และ L2 ในเครือข่าย ETH มีมูลค่า FDV (มูลค่าตลาดทั้งหมดที่บ่งชี้ว่ามีอุปทานเหรียญหมุนเวียนรวมเท่าไหร่) ประมาณ $60B
Bitcoin มีมูลค่าตลาดที่ $480B และ Stacks ซึ่งเป็น L2 ใน Bitcoin มีมูลค่า FDV ที่ $1B
หากนำมาเปรียบเทียบกันอัตราส่วนระหว่าง ETH ต่อ ETH L2 จะมีค่าเท่ากับ 3.33 ในขณะที่ฝั่ง Bitcoin ต่อ Bitcoin L2 มีค่าที่ราวๆ 480 ซึ่งในฝั่ง ETH เป็นที่เข้าใจได้ว่าอัตราส่วนของฝั่ง ETH จะต่ำกว่า เพราะ Ethereum มีความเหมาะสมมากกว่าในการเป็นชั้นฐาน และ L2 ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้านบนอีกทีจะมีมูลค่ามากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ Bitcoin ที่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรองรับวิธีการแบบนี้ตั้งแต่แรก
โอกาสในการเติบโตของ Stacks
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ BTC มีอัตราส่วนสูงกว่า ~144 เท่า แสดงให้เห็นถึงขนาดของโอกาสถ้าชุมชน Bitcoin เข้ามาร่วมกันพัฒนาและการปรับปรุงทางเทคนิคทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่มากขึ้น ทั้งสองความต้องการนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นพร้อมๆกันในขณะนี้ และหากทำการพัฒนาไปเรื่อยๆ การที่อัตราส่วนจาก 144x จะลดไปที่ 14.4x ไม่ใช่เรื่องยากเมื่อ Bitcoin ก้าวหน้าและได้รับการเข้าใจดียิ่งขึ้น ซึ่งตัวเลขนี้เองบ่งชี้ถึงความสามารถในการเติบโตของ STX ถึง 10 เท่า
สิ่งนี้มีความเป็นไปได้เนื่องจาก Stacks เป็น L2 ของ Bitcoin ที่โดดเด่นที่สุดและไม่มีคู่แข่งในการแข่งขันค่ามูลค่าโทเคน มีความสำคัญเพิ่มขึ้น และ Ethereum L2 หลายตัวที่มีการซื้อขายที่มีมูลค่าเกินการตีค่านั้นด้วย
ปัจจัย Bitcoin ฮาฟวิ่ง
ไดนามิกที่สองที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุน STX คือฮาฟวิ่ง Bitcoin ที่กำลังจะมาถึง การฮาฟวิ่งเองจะลดจำนวนเหรียญที่แจกจ่ายให้กับนักขุดเพื่อสร้างความปลอดภัยของ Bitcoin ทำให้จำเป็นต้องมาพัฒนาระบบนิเวศน์ Bitcoin ให้เกิดการสร้างพูลค่าธรรมเนียมที่ใหญ่ขึ้นเพื่อมาช่วยทดแทนในส่วนที่หายไป สิ่งนี้จะเป็นตัวส่งเสริมความสำคัญของ L2 โดยเฉพาะ Stakcs
นอกจากนี้ จากมุมมองทางเทคนิค ฮาฟวิ่งจะเป็นปัจจัยใหญ่ที่มีผลมากในชุมชนคริปโต และนักลงทุนที่ใหญ่ๆจะเริ่มมองหาวิธีในการทำกำไรให้มากที่สุดในเหตุการณ์ฮาฟวิ่งนี้ ซึ่ง BTC เป็นตัวสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการฮาฟวิ่งนี้
ในทางกลับกัน Bitcoin มีมูลค่าตลาดที่ใหญ่มาก ทำให้เกิดการเติบโตที่น้อยเมื่อเทียบกับเหรียญอื่นๆที่มูลค่าตลาดเล็กกว่า ด้วยเหตุนี้เองนักลงทุนจึงจะต้องตามหาไอเดียในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับฮาฟวิ่งนี้ในเหรียญที่มีมูลค่าต่ำกว่า ซึ่งทุกทางก็นำไปสู่ STX
ณ ปัจจุบัน ในระบบนิเวศน์ Bitcoin ไม่ได้มีเหรียญอื่นมากมาย ด้วยจำนวนที่ไม่เยอะนี้เอง สายตานักลงทุนจะจับจ้องไปที่เหรียญไม่กี่เหรียญในระบบนิเวศน์โดยเฉพาะ STX
ไดนามิกนี้เป็นปัจจัยที่ใหญ่มาก จากการที่คนจะพยายามหาสินทรัพย์ที่มีขนาดเล็กที่สร้างกำไรให้ได้มากกว่า สิ่งนี้เป็นตัวบ่งบอกว่า STX เป็นทั้งเหรียญที่มีพื้นฐานที่ดี อีกทั้งมีโอกาสการเติบโตสูงมากในรอบฮาฟวิ่งนี้เอง
โอกาสในการลงทุน STX ในมุมมองผู้เขียน
ในความคิดของผู้เขียน STX มีความสำคัญในช่วงเวลาฮาฟวิ่งไม่ต่างกับที่คนเก็งกับเหรียญ LDO ในช่วง The Merge ในฝั่งของ Ethereum ซึ่ง ณ เวลานั้น LDO มีการเติบโตถึง 600% ภายในระยะเวลา 6 สัปดาห์ช่วงมิถุนายนถึงสิงหาคมจนถึง The merge
ผู้เขียนมองว่าการซื้อ STX ในรอบฮาฟวิ่งนี้ไม่ต่างจากการซื้อเหรียญ Solana ที่ราคา $1 ในรอบไซเคิลก่อน โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีให้เห็นเยอะมาก และเป็นโอกาสสำคัญสำหรับเหรียญ STX ซึ่งหากพิจารณาความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (risk-reward) แล้ว STX มีโอกาสในการเติบโตมากกว่า 10x ในขณะที่โอกาสสูญเสียไม่เกิน 50% ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นแค่ความเป็นไปได้ และสามารถขึ้นหรือลงได้ทั้งสองฝั่ง
บันทึกเพิ่มเติม
- STX ได้รับการกระจายผ่านการเสนอโทเค็นที่ได้รับการรับรองจาก SEC ครั้งแรกในปี 2019 และได้รับการกระจายออกไปแล้ว สิ่งนี้เพิ่มความสบายใจในเรื่องของกฏหมายที่ไม่แน่นอนในปัจจุบัน
- ด้าน tokenomics ของ STX นั้นมีประสิทธิภาพค่อนข้างดี ด้วยอัตราส่วนตลาดต่อ FDV ที่ 0.75 และส่วนใหญ่เราได้ปลดล็อกโทเค็นออกมาแล้ว
สรุป
Bitcoin เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและเมื่อถึงจุดหนึ่ง การพยายามหาทางออกเพื่อให้เกิดความยั่งยืนเป็นสิ่งที่สำคัญ Stacks หรือ STX จึงเป็นหนึ่งในวิธีในการสร้างระบบเศรษฐกิจขึ้นมาบน Bitcoin เพื่อให้เกิดพูลของค่าธรรมเนียมในธุรกรรมที่เยอะขึ้นและแจกจ่ายให้กับนัดขุดได้อย่างยั่งยืนแม้จำนวนเหรียญจะไม่มีการผลิตเพิ่มจากจำนวนจำกัดแล้ว
การเปลี่ยนแปลงของชุมชน Bitcoin ที่ทำการทดลองและหาโอกาสใหม่ๆช่วยให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และการมาของ Stacks นี้เองจะเป็นตัวที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องพูลค่าธรรมเนียม อีกทั้งยังเพิ่มความเป็นไปได้ไม่จำกัดด้วย Smart Contracts ที่ตามมา
Reference
บทความนี้เป็นบทความแปลจาก Xangle ซึ่งเป็น Partner กับ Cryptomind โดยผู้เขียน Hal Press ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2023 (Link)
Related
ข้อมูล L2 บนฝั่ง Ethereum โดย Cryptomind
https://cryptomind.group/research/introduction-to-layer-2-by-cryptomind-research-teaser-version/