Worldcoin – โปรเจกต์ที่ต้องการสร้างเครือข่ายข้อมูลตัวตนของคนทั้งโลกพร้อมโครงสร้างระบบการเงินที่สามารถแจกจ่าย Universal Basic Income (UBI) ให้ทุกคนบนโลกได้อย่างเท่าเทียม
จาก Concept ของโปรเจกต์ที่กล่าวมาข้างต้นอาจเป็นแนวคิดที่ดูเจตนาดีและน่าสนใจ แต่จริงๆแล้วจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ทางเราจะพาไปเจาะลึกกันในบทความนี้
ประวัติเบื้องต้นและการระดมทุนของ Worldcoin
Worldcoin ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2019 โดย CEO ของบริษัท OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT นามว่า Sam Altman และ Alex Bania โดยโปรเจกต์ดังกล่าวนี้อยู่ภายใต้ “Worldcoin Foundation” และบริษัทที่ชื่อว่า “Tools for Humanity”
The Worldcoin Foundation เป็น non-profit organization ที่จัดตั้งมาเพื่อส่งเสริมการเติบโตของ Ecosystem เช่นการให้ทุนกับ Developer หรือการให้พื้นที่การ Governance กับผู้ใช้งาน
Tools for Humanity (TFH) เป็นบริษัทที่คอยพัฒนาด้านเทคโนโลยีให้กับ Worldcoin เช่นพวก Tools ต่างๆ อย่าง The Orb ที่ใช้แสกนม่านตาและ World App ที่คอยเก็บ Digital ID ของผู้ใช้งาน
นอกจาก Sam จะเป็น CEO ของ OpenAI แล้ว Sam ยังเคยเป็น President ที่ Y Combinator ด้วย ซึ่งบริษัทนี้เป็น Accelelator/Incubator ให้กับบรรดา Tech Startups ทั้งหลายกว่า 4,000 แห่งโดยมีเจ้าดังๆ ที่หลายคนต้องคุ้นหูอย่างเช่น Airbnb, Coinbase, Dropbox, Reddit, Twitch เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวโปรเจกต์ได้รับความสนใจจากทั้งสื่อและนักลงทุนเป็นพิเศษ โดยในปี 2021 ทาง Tools for Humanity และ Worldcoin นี้ได้รับเงินลงทุนจาก Venture Capital และนักลงทุนชื่อดังมากมายรวมแล้วกว่า 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งสามารถแจกแจงได้ดังนี้
- Series A – Worldcoin : 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำโดย a16z และนักลงทุนอื่นๆ เช่น Coinbase Ventures, Hashed, Dayone Ventures, Reid Hoffman (Founder of Linkedin) และ Sam Bankman-Fried
- Initial Coin Offering (ICO) – Worldcoin : 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก a16z และ Khosla Ventures
- Series C – Tools for Humanity : 115 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำโดย Blockchain Capital และมี Bain Capital Crypto, Distributed Global และ a16z ร่วมด้วย โดยรอบนี้เป็นรอบล่าสุดที่ได้ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมานี้เอง
*ข้อมูลอ้างอิงจาก Crunchbase และ Bloomberg
Worldcoin คืออะไร และประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ Sam ต้องการจะทำระบบเพื่อแจกจ่าย Universal Basic Income (UBI) ให้กับทุกคนบนโลกได้อย่างเท่าเทียมในรูปแบบคริปโทเคอร์เรนซีซึ่งเหรียญที่กำลังพูดถึงนี้ก็คือ “Worldcoin Token (WLD)”
Note : Worldcoin Token (WLD) จะมี Supply ทั้งหมด 1 หมื่นล้านโทเคน โดย 80% เป็นของผู้ใช้, 10% แบ่งให้กลุ่มนักลงทุน และอีก 10% ใช้สำหรับพัฒนาเครือข่าย โดยในตอนนี้โทเคนยังไม่ได้ถูก Launch หรือทำการแจกจ่ายให้ผู้ลงทะเบียน (ระวังการแอบอ้างและโทเคนปลอม !!)
ในปัจจุบันเทคโนโลยีในโลกดิจิทัลก็ไปไกลค่อนข้างมากโดยเฉพาะเรื่องของ Atificial Intelligence (AI) ทั้ง Language Model หรือ Generative AI รวมถึงพวก Deep Fake และการปลอมเสียง ที่ทำได้เนียนจนน่าเหลือเชื่อ
สิ่งที่จะใช้ในการพิสูจน์ว่าผู้ใช้ ID นี้เป็นคนจริงๆ ก็คือการใช้ Iris Biometric Scanner หรือเครื่องระบุตัวตนด้วยการวิเคราะห์รูปแบบลายม่านตา โดยทาง Tools for Humanity ได้มีการออกแบบ Iris Scanner เป็นของตัวเองและให้ชื่อว่า “The Orb”
ซึ่งเหตุผลที่ต้องแสกนม่านตา ทาง Alex Blania กล่าวว่าแนวคิดการพัฒนาโปรเจกต์นั้นเกิดขึ้นเกิดจากความซับซ้อนของ AI ที่เพิ่มขึ้น ทำให้พวกเขามีความต้องการที่จะแก้ปัญหาการแยกมนุษย์ออกจากบอท ซึ่งการที่ต้องสแกนม่านตานี้เขามองว่าม่านตาคือทางออกเดียวในการระบุตัวตน เพราะ Biometric อื่นๆสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น ลายนิ้วมือ ใบหน้า รวมถึงหลักฐานที่เป็นเอกสาร
และเมื่อมีคนมาแสกนม่านตาที่ The Orb แล้ว ผู้ที่แสกนก็จะได้รับ “World ID” ของคนๆ นั้นที่จะใช้ในการรับ WLD และเพื่อแสดงว่าผู้ใช้ World ID นี้เป็นคนจริงๆ โดยที่ผู้ที่แสกนไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ อย่างเช่น ชื่อ, Email, บัตรประจำตัวประชาชน, Passport เป็นต้น
World ID นี้อาจสามารถใช้ในการ Login เข้าใช้งาน Website และ Application รวมถึง DApp ต่างๆ ในอนาคตได้ด้วย แต่ในเบื้องต้นจะถูกเชื่อมกับ “World App” ที่พึ่งจะมีการเปิดตัว Phase I ออกมาเมื่อวันที่ 08 พฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมา
World App นี้จะรองรับทั้ง $WLD, Digital Asset อื่นๆ และเงินสกุลท้องถิ่นบางสกุลซึ่งในที่นี้จะเป็น USD ก่อน
ซึ่งถ้าให้กล่าวโดยสรุปง่ายๆ เราจะสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนประกอบหลักๆ คือ
- World ID : Digital Identity ที่ถูก Verify ผ่าน The Orb ว่าเป็นคนจริงๆ
- Worldcoin Token (WLD) : โทเคนของโปรเจกต์ที่จะถูกแจกให้ผู้ที่ยืนยันตัวตนกับ The Orb
- World App : Application หลักที่มีการเชื่อมต่อกับ WorldID และรองรับ $WLD เป็นหลัก
การทำงานของ The Orb ที่ได้มาซึ่ง World ID
ผู้ที่ต้องการได้ World ID จะต้องนำ QR Code ที่ผูกกับ World App (SemaphoreHash) มาแสกนที่ The Orb และเข้าไปแสกนม่านตาที่ The Orb เพื่อให้ได้ IrisHash
จากนั้น The Orb จะนำ Hash ของ QR และ Data จากการแสกนม่านตา ในที่นี้คือ SemaphoreHash และ IrisHash ส่งไปที่ Sequencer เพื่อเช็คว่าเคยลงทะเบียนมาก่อนหรือเปล่า ซึ่งถ้าไม่เคยลงทะเบียนมาก่อนก็จะทำการสร้าง World ID ให้ผู้ที่เข้ามาแสกนม่านตา
โดยถ้าให้สรุปเป็นความสัมพันธ์ง่ายๆ ระหว่างผู้ใช้งาน, Orb, World App, ผู้ให้บริการการลงทะเบียน และ World ID Contract ก็จะเป็นดังแผนภาพด้านบน
โดยผู้ที่อาสาเป็นคนนำ The Orb มาให้ผู้คนแสกนม่านตาก็จะได้ WLD Token เป็นค่าตอบแทนด้วย ซึ่งจากแผนภาพด้านบน Orb Operator จะมีสัญญาเริ่มต้น 1 เดือนซึ่งจะต้องคอยอธิบายเกี่ยวกับโปรเจกต์และนำ Orb ไปให้คนแสกน
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ WLD Token ยังไม่ได้ถูก Launch ออกมา ทำให้เราคาดว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา Orb Operator อาจได้ Incentive อย่างอื่นเป็นค่าตอบแทนเพราะนี่ก็เป็นเวลาหลายปีแล้วตั้งแต่โปรเจกต์เริ่มก่อตั้ง ซึ่งถ้าหากไม่มีการแจก Incentive บางอย่างให้ก็ไม่น่าจะมีใครอยากเข้ามาเป็น Orb Operator
โดยที่ผ่านมาThe Orb ได้ถูกติดตั้งไว้ใน 12 ประเทศ ทั่วแอฟริกา อเมริกาใต้ ยุโรป และเอเชีย ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนในโครงการแล้วประมาณ 1.44 ล้านคน
องค์ประกอบของ World App
World App เป็น Wallet ของ Worldcoin Ecosystem ที่ถูกพัฒนาโดยทีมของทางฝั่ง Tools for Humanity (TFH) โดยฟังก์ชันต่างๆ ที่อยู่ใน World App นั้นทาง TFH ไม่ได้เป็นคนพัฒนาเองทั้งหมด โดยองค์ประกอบของ World App สามารถแยกโครงสร้างออกมาได้ดังนี้
- DApps Communication
- Chain Communication
- Wallet Architecture
- การซื้อขาย Digital Asset
- Blockchain
- การฝากและถอนเงิน (on-ramp / off-ramp)
- Digital Dollar in World App
1. DApp Communication
Application ดังกล่าวจะเป็นที่เก็บ World ID ของผู้ใช้งานที่ยืนยันตัวตนซึ่ง ID ดังกล่าวสามารถนำไปเชื่อมต่อกับ DApp ต่างๆ ได้โดยใช้บริการของ “WalletConnect” และเห็นว่ามีการ Support การทำธุรกรรมผ่าน Ethereum Name Service (ENS) ด้วย
2. Chain Communication
World App ใช้บริการ Supernode ของ Alchemy ในการที่จะ Interact กับ Blockchain โดยธุรกรรมต่างๆ จะถูกส่งไปที่ Alchemy เพื่อไปทำธุรกรรม on-chain
3. Wallet Architecture
ผู้ที่ใช้งาน World App จะได้ Wallet ที่เป็นของ Polygon ซึ่งมีการใช้ Account Abstraction (AA) เพื่อที่จะให้ผู้ใช้งานใช้งานได้ง่ายมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น สามารถมีทางเลือกในการ Recovery Account ได้ รวมถึงจะสามารถรองรับฟังก์ชันที่ให้คนอื่นออกค่า Gas ให้ได้
ทำให้ผู้ใช้งานอาจได้รับ Subsidy เรื่องค่า Gas จากทางโปรเจ็กต์หรือ Blockchain ต่างๆ และทำให้ประสบการณ์การใช้งาน Web3 ดียิ่งขึ้น โดย Account Abstraction นี้จะใช้ Stack ของ “Safe” ที่เป็น Decentralized Custody Protocol ที่มีผู้ใช้งานมากมายและมีสินทรัพย์มากกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเก็บไว้ใน Safe Account
4. การซื้อขาย Digital Asset
การซื้อขายแลกเปลี่ยนที่อยู่ใน World App จะทำงานผ่านทาง “Uniswap” ที่เป็น Decentralized Exchange อันดับหนึ่งบน Ethereum ที่มี Volume เฉลี่ยราวๆ 500 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
5. Blockchain
ก่อนหน้านี้ World App (Beta) ถูก Deploy บน Polygon เนื่องจากการทำงานบน Ethereum ตรงๆ นั้นแพงและ Layer 2 ของ Ethereum ก็ยังไม่เรียบร้อยดี
และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมานี้ ทาง Worldcoin ก็ได้ประกาศว่าจะทำการ Migrate การทำงานทั้งหมดจาก Polygon ไปที่ Optimism โดยจะเป็นการสร้าง Chain ของตัวเองด้วย OP Stack และต่อยอดแนวคิด Superchain ของ Optimism ซึ่งถ้ามีการใช้งานมากขึ้นจาก Worldcoin ก็จะสามารถส่งเสริม Optimism ให้เติบโตไปได้พร้อมๆ กัน
6. การฝากและถอนเงิน (on-ramp / off-ramp)
การฝากเงินเข้า World App นอกจากจะโอนผ่าน Crypto Network ต่างๆ แล้วก็สามารถโอนเงินเข้าออกผ่านธนาคารพาณิชย์ที่รองรับ รวมถึงรองรับบัตรเดบิตและบัตรเครดิตด้วย โดยผู้ที่เป็น Partner ที่ให้บริการดังกล่าวก็คือ “MoonPay” และ “Ramp”
7. Digital Dollar in World App
Digital Dollar ที่ World App รองรับจะเป็น Stablecoin ของ Circle หรือก็คือ USDC ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ในอนาคตเห็นว่าอาจจะมีการรองรับ Stablecoin อื่นๆ ด้วยซึ่งก็ต้องคอยติดตามดูต่อไป
โดยที่ต้องเลือก USDC ก่อนก็เพราะมีความน่าเชื่อถือสูง มีใบอนุญาต Money Transmitter ของสหรัฐฯ และในตอนนี้ก็ได้ย้ายเงินส่วนใหญ่ไปอยู่ในสถาบันการเงินอันดับต้นๆ ของทั้งในอเมริกาและระดับโลกอย่างเช่น BlackRock, BNY Mellon แล้วเรียบร้อย
สิ่งที่น่ากังวลเกี่ยวกับ Worldcoin
หากเราเข้าไปดู User Legal Center ในหมวด Biometric Data Consent Form, Privacy Notice ของ Worldcoin แล้ว จะเห็นสิ่งที่ดูค่อนข้างน่ากลัวในหลายๆ แง่มุมเกี่ยวกับ Data ที่พวกเขาได้เก็บไป โดยในส่วนนี้ทางเราจะพาไปส่องสิ่งที่เราต้องยินยอมในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Ecosystem กันว่าจะมีอะไรที่น่ากังวลบ้าง
จาก Biometric Data Consent Form แม้พวกเขาจะไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวอย่าง ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชน หมายเลข Passport แต่พวกเขาได้เก็บใบหน้าของเราไปด้วยโดยไม่ได้เก็บแค่ม่านตาของเราอย่างเดียว
และรูปใบหน้าของเราไม่ได้เก็บเป็นรูป 2D ที่เหมือนภาพถ่ายปกติ แต่เก็บเป็น Spectrum ในรูปแบบต่างๆ รวมถึงภาพ 3D ของโครงหน้าเราทั้งหมดด้วย ซึ่งในจุดนี้ถ้าคิดให้น่ากลัวสุดโต่งก็คือเราอาจมีร่างแยกที่เหมือนกัน 100% อยู่ในโลกออนไลน์และระบบรักษาความปลอดภัยแบบการแสกนใบหน้าหรือดวงตาก็จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
อีกทั้งในปัจจุบันเห็นว่ามี Tools เกี่ยวกับ Face Recognition เกิดขึ้นมากมายที่เพียงแค่ Upload รูปลงไป Tools ตัวนั้นก็สามารถควานหาทั่วทุก Social Media และอาจหาจนเจอได้ว่าเป็นใคร (แม้อาจจะยังไม่แม่นยำในปัจจุบัน แต่อนาคตก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีกว่านี้มาก) ทำให้การให้ข้อมูลทั้งดวงตาและใบหน้าของเราไปนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากลัวอย่างมากเพราะเราต้องเชื่อใจว่าทาง Worldcoin จะไม่เอาไปใช้ในทางที่ผิด จะเก็บข้อมูลไว้อย่างปลอดภัย ฯลฯ
และเมื่อมาดูในส่วนของ Privacy Notice เราก็จะเจอว่าทาง Worldcoin ไม่ได้เก็บข้อมูลของผู้ใช้งานไว้เฉยๆ แต่มีการแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ให้กับองค์กรภายนอกที่เป็น Vendor และ Service Provider ให้กับ Worldcoin ด้วย
องค์กรต่างๆ ที่ว่านี้มีตั้งแต่ Cloud Service Provider, SaaS Provider, ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เช่น Developer, นักกฎหมาย และผู้ให้คำแนะนำทางด้านภาษี (เราไม่ทราบว่ามีใครบ้างทั้งในปัจจุบันและในอนาคต), ธนาคาร และอื่นๆ อีกมากมาย
ในส่วนของผู้เชี่ยวชาญที่เป็น Developer ทางเราคาดว่าจะมีการแบ่งปันข้อมูลกับผู้พัฒนา Application และ Service ต่างๆ ที่นำมาเชื่อมกับ World App ที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ด้วย
หากต้องมีการเข้าสู่กระบวณการทางกฎหมาย ข้อมูลของเราก็อาจโดนเผยแพร่ให้กับหน่วยงานรัฐต่างๆ ด้วยเช่นกัน และหากบริษัทจะถูกขายต่อให้บริษัทอื่น ข้อมูลของเราก็อาจถูกเผยแพร่ให้กับอีกบริษัทด้วยเช่นกัน
และส่วนหนึ่งที่กล่าวว่า “Data, including your personal information, may be shared between and among our current and future parents, affiliates, and subsidiaries and other companies under common control and ownership.” นั่นก็อาจหมายถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Worldcoin ทั้งในปัจจุบันและอนาคตก็สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานได้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่า Venture Capital ต่างๆ ที่ลงทุนกับ Worldcoin ก็อาจเข้าถึงข้อมูลส่วนนี้ได้เหมือนกัน
จากหลายๆ สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ผู้เขียนนึกถึง Quote ที่ว่า
You are being paid to use a product, you are the product.
หรือแปลง่ายๆ ว่าถ้าคุณได้รับสิ่งตอบแทนจากการใช้งาน Product ใด Product หนึ่ง ตัวคุณนั่นแหละคือ Product ทำให้หากลองคิดดูดีๆ ข้อมูลของผู้ใช้งานที่ยอมแลกดวงตาและใบหน้าเพื่อรอรับ Worldcoin Token นี่แหละก็คือสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาเพียงสร้าง Token ออกมาแล้วแปลงร่างมันกลายเป็น Concept สวยหรูอย่าง AI-Funded UBI เพื่อจูงใจคน
ดังนั้นต้องกลับมาถามตัวเองแล้วว่า เราเชื่อใจคนเหล่านั้นหรือไม่และมันคุ้มค่าที่จะแลกดวงตาและใบหน้าของเราเพื่อแลกกับ Worldcoin Token ที่ถูกสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่คลิกหรือเปล่า
Bull Case สำหรับ Worldcoin Token (WLD)
แม้ว่าตัวโปรเจกต์อาจจะมีความคลุมเครือและน่ากลัวในหลายแง่มุมแต่ถ้าหากเราไม่ลองมองในแง่มุมอื่นๆ ก็อาจพลาดโอกาสครั้งสำคัญไปได้ โดยผู้เขียนมีมุมมองว่าอาจเป็นไปได้สูงที่ในอนาคตจะมีแรงเก็งกำไรมหาศาลเข้ามาที่ WLD ได้ด้วยเหตุผลสนับสนุนดังนี้
ทางโปรเจกต์ได้มีการพูดถึงว่า UBI ที่นำมาแจกจะเป็น “AI-funded UBI” หรือก็คือเป็นเงินที่มาจาก AI ซึ่งทางผู้เขียนคิดว่าเป็นไปได้ที่จะมาจาก Revenue บางส่วนที่ Sam Altman ได้จาก OpenAI (ในตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนว่า AI-funded UBI นั้นมาจากไหนกันแน่)
ความดังของ ChatGPT ทำให้ Sam Altman กลายเป็นเหมือนบุคคลที่หลายคนจับตามองหากต้องพูดถึงเรื่องของ AI ซึ่ง Sam อาจกลายเป็นคนที่มีอิทธิพลสูงมากในอนาคตเหมือกับ Elon Musk ใน Bull Run รอบที่แล้ว
โดยหาก Sam ได้มีการพูดถึง Worldcoin ต่อสาธารณะก็อาจทำให้มีคนเข้ามาเก็งกำไรกันได้เหมือนกับที่มีคนเข้ามาเก็งกำไรเหรียญ DOGE เวลา Elon Musk พูดถึง
แน่นอนว่าจากมุมมองที่กล่าวไปข้างต้นนั้นเป็นการมองในลักษณะของ Memecoin ที่มีความเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นผู้ที่จะเข้าไปเก็งกำไรก็ต้องมีการบริหารความเสี่ยงให้ดี และเป็นอีกหนึ่งมุมมองของทางผู้เขียนเท่านั้น