บทความอัพเดทล่าสุดวันที่ 04/12/2022
นอกจากข่าวเศรษฐกิจมหาภาคในตอนนี้จะมีความไม่แน่นอนสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บนโลกของ Cryptocurrency ก็เริ่มมีเหตุการณ์ใหญ่ครั้งหนึ่งที่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นวิกฤตครั้งใหญ่ได้เช่นกัน นั่นคือข่าวความผิดปรกติของงบดุลบริษัท Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ FTX ซึ่งอาจนำมาสู่การล้มละลายของ FTX ได้ แม้ว่าข่าวที่ออกมาในช่วงแรกจะไม่มีคนสนใจ แต่เมื่อคืน Changpeng Zhao (CZ) CEO ของ Binance ซึ่งเคยลงทุนใน FTX เมื่อ 2 ปีที่แล้วได้ประกาศบน Twitter ว่าจะเทขาย FTT เหรียญของ FTX Exchange บนตลาดและอธิบายเพิ่มเติมว่าเป็นการลดความเสี่ยงเพราะมีประสบการณ์จากการล่มสลายของ Luna หรือ Three Arrow Capital ในครั้งก่อน ทำให้หลายคนเริ่มกลับมาตั้งคำถามกับประเด็ดเรื่องงบดุลของ Alameda ใหม่อีกครั้ง
เหตุการณ์นี้จะเป็นอย่างไรและนักลงทุนควรรับมือแบบไหน บทความนี้จะมารวบรวมและอธิบายให้ผู้อ่านอย่างครบถ้วน
Alameda Research คือบริษัทอะไร
เป็นบริษัทด้าน Trading Firm ที่จะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเป็นบริษัทลูกในเครือของ FTX Exchange ซึ่งทั้งสองมีเจ้าของคือ Sam Bankman-Fried ลักษณะการเทรดของ Alameda Research จะมีทั้งการทำ Arbitrage (ทำกำไรโดยไร้ความเสี่ยง) การกู้เพื่อ Leverage ให้มีเงินลงทุนสูงขึ้น การทำ Yield Farming บน DeFi แพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงการเทรดอีกด้วย ปัจจุบันมี Caroline Ellison เป็น CEO ของ Alameda Research
งบดุลที่น่ากังวลของ Alameda Research
ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2022 Coindesk ได้เปิดเผยงบแสดงฐานะทางการเงิน (Balance Sheet) ไตรมาสสอง ของบริษัท Alameda Research โดยหากดูผิวเผินจะพบว่ามีสินทรัพย์ 14,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐและมีหนี้สินเพียง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แสดงถึงความแข็งแกร่งของบริษัท แต่หากเจาะลึกเข้าไปดูในแต่ละรายการจะพบสิ่งที่น่ากังวลตามมาดังนี้
Total Asset – สินทรัพย์รวม: $14,600,000,000
- $3,660,000,000: FTT Token (Unlock)
- $2,160,000,000: FTT Token (ใช้ค้ำประกันอยู่)
- $3,404,000,000: SRM, MAPS, OXY และ FIDA Token (เหรียญบน Solana Blockchain)
- $2,000,000,000: Equity Securities (ตราสารทุน) ไม่ระบุรายละเอียด
- $863,000,000: SOL Token (Lock)
- $292,000,000: SOL Token (Unlock)
- $41,000,000: SOL (ใช้ค้ำประกันอยู่)
- $134,000,000: เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด
- $2,066,000,000: ไม่ระบุว่าสินทรัพย์อะไร
Total Liability – หนี้สินรวม: $8,000,000,000
- $7,400,000,000: เงินกู้ยืม (ไม่ทราบแหล่งที่มาของเงิน)
- $292,000,000: FTT Token (กู้มา)
- $308,000,000: ไม่ระบุว่าสินทรัพย์อะไร
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าบริษัท Alameda Research มีข้อน่าสังเกตดังนี้
- สัดส่วน FTT Token ต่อสินทรัพย์ทั้งหมด คิดเป็น 40% ของสินทรัพย์ทั้งหมดซึ่งสูงมาก ซึ่งเหรียญนี้มี Volume การซื้อขายต่อวันอยู่ที่ $708,827,796 ในขณะที่ Alameda Research ถือ FTT ที่สามารถเทขายได้ทันทีอยู่ที่ประมาณ $3,660,000,000 จึงไม่สามารถเทขายเป็นเงินสดหรือ Stablecoin ได้ทั้งหมดหากเจ้าหนี้ต้องการเรียกคืน
- และหากเทียบ FTT Token ที่ Alameda Research ถือเทียบกับ Total Supply จะมี 232,800,000 FTT หรือ 70% ของทั้งหมด และคิดเป็น 174% ของ Circulating Supply ทำให้มีอำนาจในการควบคุมราคาเหรียญได้ง่ายแต่ในอีกทางหนึ่งก็คือมีเหรียญมากไปจนไม่มีสภาพคล่องรองรับทั้งหมด
- FTT Token สร้างเหรียญนี้ขึ้นมาแล้วแบ่งบางส่วนใช้แลกเปลี่ยนกับเงินลงทุนจาก Venture Capital ต่างๆ ซึ่ง CZ เจ้าของ Binance ก็ลงทุนเช่นกัน ซึ่งเมื่อระดมทุนได้และเริ่มเปิดขายในตลาดก็จะมีแรงซื้อขายจนเหรียญที่พึ่งสร้างมาสามารถมีมูลค่าขึ้นมาได้
- ประโยชน์ในการถือ FTT Token นอกจากการได้ส่วนลดค่าธรรมเนียมคือ รายได้ 33% ของ FTX จะนำมา Buyback&burn FTT ซึ่งปัจจุบันมีรายได้ประมาณ $500,000,000 ต่อปีหรือประมาณ 1 ใน 20 ของ Binance ซึ่งอาจมีการประยุกต์ใช้ในการนำ FTT ไปวางค้ำประกันตาม DeFi ต่างๆ เช่น Abracadabra เพื่อกู้ Stablecoin หรือ ETH ออกมาเก็งกำไรต่อได้โดยเสียดอกเบี้ยกู้ 2% ซึ่งวิธีการนี้ออกเป็นอีกทางหนึ่งในการได้สภาพคล่องจาก FTT แทนการเทขาย FTT
- หนี้ที่กู้มาจำนวน 92.5% ของทั้งหมดนั้นไม่ทราบว่าเจ้าหนี้ ระยะเวลาการกู้ยืม อัตราดอกเบี้ยหรือรายละเอียดของสัญญา
- มีข้อมูลที่ยังไม่เปิดเผยให้ทราบว่าเอาไปลงทุนที่ไหนจำนวน 14%
กลุ่มเหรียญ SRM, MAPS, OXY และ FIDA ที่มีมูลค่ากว่า $3,404,000,000 มีความน่ากังวลเรื่อง Dilution Effect ดังนี้
- SRM Token เป็น Governance Token ของ Serum DEX บน Solana ที่ราคาร่วงจะจุดสูงสุดมา 94.6% มี Volume $37,529,692 ต่อวัน และปัจจุบันมี Market Cap ที่ $277,000,000 ขณะที่ Fully-Diluted Market Cap มูลค่า $7,574,495,393 แสดงถึงจำนวนเหรียญปัจจุบันที่ออกมาเพียง 34% ของจำนวนทั้งหมด ต้องระวังเรื่องราคาตกจาก Dilution Effect
- MAPS Token เหรียญของแพลตฟอร์ม Maps.me ซึ่งเป็น Mobile Application ที่เปิดดูแผนที่ออฟไลน์ได้ โปรเจกต์นี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไหร่จากจำนวน Twitter มี Volume การซื้อขาย 24 ชั่วโมงอยู่ที่ $317,193 และมี Market Cap $6,768,737 และ Fully-Diluted Market Cap $1,484,478,153 แสดงถึงจำนวนเหรียญปัจจุบันที่ออกมาเพียง 0.45% ของทั้งหมดเท่านั้น จึงควรระวังเรื่องมูลค่าจาก Dilution Effect อย่างสูง
- OXY Token เป็นแพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกให้นักลงทุนสถาบันลงทุนใน DeFi ราคาลบจากจุดสูงสุด 99% มี Volume การซื้อขาย 24 ชั่วโมงอยู่ที่ $353,212 และมี Market Cap $1,722,401 และ Fully-Diluted Market Cap $433,485,484 แสดงถึงจำนวนเหรียญปัจจุบันที่ออกมาเพียง 0.39% ของทั้งหมดซึ่งน้อยมากเช่นกัน จึงควรระวังเรื่องมูลค่าจาก Dilution Effect อย่างสูง
- FIDA Token เป็น Solana Name Service และมี Product อื่นๆด้วยเช่นกัน ปัจจุบันราคาติดลบจากจุดสูงสุด 99.35% มี Volume $3,575,796 ต่อวัน และมี Market Cap $17,329,160 และ Fully-Diluted Market Cap $387,417,256 แสดงถึงจำนวนเหรียญปัจจุบันที่ออกมาเพียง 4.47% ของทั้งหมด ควรระวังเรื่องมูลค่าจาก Dilution Effect เช่นกัน
กล่าวโดยรวมแล้ว สินทรัพย์ที่แจ้งอยู่ในงบดุลนั้นล้วนแต่มีความผันผวนสูงมาก สัดส่วน FTT ก็มีสูงมากจนไม่มีสภาพคล่องที่ไหนเพียงพอให้เทขายได้ทันที และยังมีงบบางส่วนที่ไม่เปิดเผย นอกจากนี้แหล่งกู้ยืมที่ Alameda research ยืมมานั้นยังไม่ทราบว่าที่ไหน ทำให้เมื่อพิจารณาตามหลักเหตุผลแล้วค่อนข้างน่ากลัวมาก
FTT จะล้มละลายหรือไม่หากเจ้าหนี้ต้องการไถ่ถอนเงินคืน
หากเราไม่ทราบว่าเจ้าหนี้เป็นระยะสั้นหรือยาวและต้องการเงินคืนตอนไหน วิธีการคิดอย่างคร่าวๆในตอนนี้คือการดูว่า “Alameda Research สามารถเทขายสินทรัพย์ทั้งหมดได้เท่าไหร่ใน 1 วัน” นำสินทรัพย์ที่มีทั้งหมดของ Alameda Research มาเทขายในตลาด ซึ่งก็คือ FTT, SOL, SRM , MAPS, OXY และ FIDA โดยเราจะตั้งสมมติฐานให้
- เทขายได้เฉพาะเหรียญที่ Unlock
- ขายได้เท่ากับ Volume ซื้อขายภายใน 24 ชั่วโมง
- ราคาคงที่เสมอแม้ว่าจะโดนเทขาย
- ไม่นับสินทรัพย์ที่ยังไม่เปิดเผย
ได้ผลลัพธ์ดังนี้
- $722,138,468 (FTT) + $292,000,000 (SOL) + $37,529,692 (SRM) + $320,226 (MAPS) + $351,659 OXY + $3,628,481 (FIDA) =
$1,055,968,526
สรุปคือไม่เพียงพอ $7,400,000,000 ในหนึ่งวัน โดยแม้ว่าจะรวมตราสารทุนและสินทรัพย์ที่ไม่เปิดเผยอีกก็ตาม หากเจ้าหนี้ต้องการเงินภายในหนึ่งวันจริงจะถือว่า Alameda Research ไม่สามารถหาเงินมาคืนได้ ถือเป็นการ “ล้มละลาย” จริง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่านี่เป็นเพียงการตั้งสมมติฐาน แต่ในความจริงเจ้าหนี้ที่ต้องการได้เงินคืนไม่น่าจะบังคับขายทั้งหมดทันทีเพราะทราบดีอยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ การเทขายเหรียญในปริมาณมากขนาดนี้ล้วนมีแต่จะส่งผลเสียต่อทั้ง Alameda Research และตัวเจ้าหนี้ที่อาจจะไม่ได้รับเงินคืนด้วย หากเป็นคนที่มองการณ์ไกล FTX ยังถือว่าเป็น Exchange อันดับต้นๆ ที่มีรายได้และผู้ใช้งานที่สม่ำเสมอ การทยอยให้รายได้ฝั่งนั้นช่วยไถ่ถอนหนี้ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ดูลงตัวต่อทุกฝ่ายได้เช่นกัน
ดังนั้น เราคาดการณ์ว่า Alameda Research มีสถานะการเงินที่ไม่มั่นคงจริง แต่ก็คิดว่าไม่ล้มละลาย
***แต่ในมุมของนักลงทุนที่มีเงินอยู่ใน FTX ควรถอนออกมาก่อนเพื่อความปลอดภัย เพราะอาจมีสิ่งที่เรายังไม่รู้เกิดขึ้นได้
Binance เทขาย FTT: ข่าวลือที่กลายเป็นเรื่องจริง
ข่าวงบดุลที่กำกวมของ Alameda Research เปิดเผยออกมาในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2022 ส่งผลให้ราคา FTT ร่วงประมาณ 3.21% จาก 25.8 ดอลลาร์สหรัฐเหลือ 25 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ความรู้สึกของคนนั้นยังไม่ได้รู้สึกเชื่อกับข่าวนี้มากเท่าไหร่และทาง Sam และ Alameda ก็ไม่ได้มีการตอบโต้อะไรจนดูเหมือนเรื่องนี้ก็จะค่อยๆเงียบไปในที่สุด
แต่ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2022 ช่วงเช้าเวลาไทย มีการพบธุรกรรมบน Ethereum เป็นการโอน 23,000,000 FTT ของกระเป๋า Binance ที่เคยลงทุนใน FTX ในยุคแรกไปกระเป๋าไหนซักแแห่งแล้วย้อนมาที่กระเป๋า Binance อีกอันที่เอาไว้รับเงินเข้า Binance Exchange มีการคาดการณ์ว่า CZ ตั้งใจจะทำการเท FTT หรือว่านำ FTT ไปค้ำเพื่อกู้เงินเพิ่ม ซึ่งคนให้น้ำหนักไปที่การเท
CZ ไม่ปล่อยให้นานเกินรอ หนึ่งวันหลังจากนั้นเข้าก็โพสต์ใน Twitter ว่า “จากข้อมูลที่เปิดเผยออกมาล่าสุด (คาดว่าเป็นเรื่องงบของ Alameda Research) เงินลงทุนใน FTX ที่ได้คืนมาในรูป BUSD และ FTT จำนวน 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว เรามีความตั้งใจจะขาย FTT ที่ได้มานั้นทั้งหมดบนกระดานเทรด โดยเราเข้าใจดีว่าสภาพคล่องของ FTT นั้นต่ำ การเทขายจึงต้องทยอยเทจนกินระยะเวลาหลายเดือน และกล่าวปิดท้ายว่า Binance มีความตั้งใจจะถือ FTT ในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงอะไรจึงอยากทำโดยโปร่งใส”
Caroline โพสต์แก้ไขความเข้าใจผิดเรื่องงบดุลของ Alameda research ที่ Coindesk ออกข่าวว่าไม่ครบถ้วน บริษัทยังมีสินทรัพย์ (ไม่บอกว่าคืออะไร) มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่อีกแต่ไม่ได้ลงในงบดุล และมีการปิดความเสี่ยงสินทรัพย์ที่ไม่ได้ลงไว้ด้วยการทำ Hedging แล้ว พร้อมๆกับการคืนเงินที่กู้มาจนใกล้จะหมดแล้ว
และโพสต์บอก CZ โดยตรงบน Twitter ว่าเขายินดีรับซื้อ FTT นอกกระดานเทรด (OTC) ที่ราคา FTT 22 ดอลลาร์สหรัฐการโพสต์ของ Caroline ช่วยทำให้ราคา FTT กลับมายืนระหว่าง 22.2-23.5 ดอลลาร์สหรัฐได้
ซึ่งหลังจากนั้นมาก็จะมี Twitter ของ CZ เล่าว่า “เรามีประสบการณ์ขาดทุนจากการล่มสลายของ Terra-LUNA-UST จึงต้องบริหารความเสี่ยงด้วยการขาย FTT บางส่วนทิ้ง และกล่าวปิดท้ายว่า Binance เคยสนับสนุน FTX จริงแต่หลังจากนี้คงไม่อีกแล้ว เพราะไม่อยากคบกับคนที่ทำร้ายเพื่อนในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันอย่าง FTX” ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่แน่ใจว่า CZ หมายถึงเรื่องไหนที่ FTX ทำ แต่จากประวัติแล้ว FTX หรือ Alameda Research มักหาประโยชน์เข้าตัวก่อนส่วนรวมเสมอทำให้มีทั้งคนที่เข้าใจการกระทำและคนที่เสียประโยชน์ เช่น เหตุการณ์ Sifu ของ Abracadabra Alameda Research ก็เป็นเจ้าแรกๆที่มีการ Cash Out 250,000,000 UST ทันทีทำให้ UST หลุด Peg ใน Curve ชั่วคราว หรืออาจจะเป็นเรื่อง Crypto Regulation ที่ทาง Sam แสดงจุดยืนว่าค่อนข้างเห็นด้วยกับการกำกับ Front-End ของ DeFi ในเดือนก่อน (ซึ่งเปลี่ยนความคิดว่าไม่เห็นด้วยในภายหลังจากที่มีการ Debate กับ Erik Voorhees แล้ว)
ปิดท้ายด้วยโพสต์ของ Sam ที่แสดงความเห็นเกี่ยวกับการประกาศช้อนซื้อ FTT ที่ 22 ดอลลาร์สหรัฐว่า “เคารพการตัดสินใจของเธอและคิดว่าวิธีการนี้น่าจะช่วยให้แก้ปัญหาได้เร็วและง่ายที่สุดก่อนที่ทุกคนจะตื่นตูมเกินไป อย่างไรก็ตามหาก Binance ต้องการขายแบบเฉลี่ยราคาตามช่วงเวลา (TWAP) ซึ่งกินเวลาหลายเดือนก็ไม่ได้ติดขัดอะไร”
FTX จะเป็นอย่างไรต่อไป
หลังจากรับรู้เรื่องราวทั้งหมดของ FTX, FTT และ Alameda Research ทั้งหมดแล้ว ราคา FTT ในตอนนี้ก็ยังไม่ขยับมากมายนักแต่ก็ไม่หลุด 22 ดอลลาร์สหรัฐที่ประกาศรับ OTC เหตุการณ์หลังจากนี้จึงสามารถคาดการณ์ได้หลายทาง เช่น
- ตลาดจะถล่มหนักกว่ารอบที่ Terra ล่มสลาย: เนื่องจากขนาดของ FTX และ Alameda Research รวมกันนั้นมีขนาดใหญ่และเกี่ยวข้องกับนักลงทุนทั่วไปมากกว่า โดย FTX เป็นถึง Exchange อันดับ 2-3 ที่มีปริมาณซื้อขายต่อวันอยู่ที่ 2,313 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างเช่น FTT ราคาตกจนโดนจุด Liquidate ใน DeFi Lending Protocol บางตัว อาจทำให้ตลาดเกิด Domino Effect ตามมาได้ อย่างไรก็ตามคิดว่าเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นได้ยากที่สุด
- ราคาคงที่เหนือ 22 ดอลลาร์สหรัฐ: CZ รับข้อตกลงการซื้อ FTT ผ่าน OTC ไม่เกิดการ Liquidation ครั้งใหญ่ ทำให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบเช่นเดิม ดังนั้นราคาจะขึ้นลงไปตามภาพเศรษฐกิจมหภาคแทน
- FTT ค่อยๆกลับขึ้นมาหลังจาก CZ ขายหมด: Sam อาจทราบดีว่างบ Alameda Research หลุดออกไปแล้ว ซึ่งจะมีนักลงทุนเทขาย FTT แน่ จึงปล่อยราคา FTT ไหลโดยที่ไม่ทำอะไร เพื่อให้ CZ ได้ราคาขายไม่ดี จนเมื่อ CZ ขายจนหมดเมื่อไหร่ Sam จึงตามซื้อคืนทีหลัง
- ราคาคงลงต่ำกว่า 22 ดอลลาร์สหรัฐ: CZ ปฏิเสธการซื้อแบบ OTC ซึ่งอาจเป็นการตั้งใจโจมตี FTX หรือยังไม่พอใจกับราคาที่เสนอมา จึงพยายาม Dump ราคา FTT ให้ถึงจุดที่ Alameda Research โดน Liquidate จากการใช้ FTT ค้ำประกัน แม้ว่า CZ จะได้รับกำไรน้อยลงแต่ก็สามารถสกัดคู่แข่งอันดับต้นๆออกจากตลาดได้
- ไม่เกิดอะไรขึ้น: สุดท้ายแล้วทุกอย่างอาจจะเป็นข่าว FUD ที่ทำเพื่อให้รายย่อยขายของออกให้หมดเพื่อให้รายใหญ่สามารถช้อน FTT ได้ในราคาถูก แม้ว่าตอนนี้ทุกคนจะดู Panic กับเหตุการณ์นี้จนมีการถอน USD ออกจาก FTX จำนวนมากแต่ตอนนี้ FTX ก็ยังไม่ปิดถอนและให้บริการได้ตามปกติ
แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะไม่สามารถฟันธงได้ว่าบทสรุปของ FTX และ Alameda Research จะเป็นอย่างไร สำหรับนักลงทุนควรถอนเงินออกจาก FTX เพื่อลดความเสี่ยงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจลงทุนใหม่หากผ่านไปหลายเดือนจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไรจริง และระมัดระวังการถือเหรียญ FTT, SOL, SRM, MAPS, OXY และ FIDA เพราะอาจโดนเทขายเพื่อใช้หนี้ได้ตลอด
ความสัมพันธ์ของ Sam และ CZ (Update: 08/11/2022
)
ย้อนกลับไปในช่วงปี 2017 CZ ระดมทุนและก่อตั้ง Binance Exchange ขึ้นมาและด้วยความสามารถของเขาทำให้บริษัทเติบโตเป็น Exchange อันดับหนึ่งได้อย่างรวดเร็วซึ่งขณะนั้นก็มีคู่แข่งเกิดขึ้นมากมายทั้ง Coinbase, Bitmex, Gemini และอื่นๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่า
แต่ในช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2019 Sam ก็ได้ก่อตั้ง FTX ขึ้นมา โดยเขาเป็นคนที่มีความสามารถสูงมากจนทำให้ FTX ไต่อันดับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วจนดึงดูดความสนใจของ CZ ซึ่งสุดท้ายได้ลงทุนใน FTX อย่างเป็นทางการในช่วงสิ้นปี 2019
อย่างไรก็ตาม FTX ก็ได้พุ่งทะยานขึ้นจนกลายเป็นอันดับ 2-3 ร่วมกับ Coinbase อย่างรวดเร็วจน CZ อาจจะมีความรู้สึกถึงภัยคุกคามบางอย่าง ทำให้การระดุมรอบ Series B จำนวน 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นไม่ได้ลงทุนแต่ แล้วประกาศจะถอนเงินลบงทุนออกด้วยซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นการขายให้นักลงทุนกลุ่มใหม่ในรอบบการระดมทุนนั้นด้วย
มีการคาดการณ์ว่า Sam เองก็ตั้งเป้าหมายจะเป็นอันดับ 1 ให้ได้ แต่ประเมินศักยภาพตัวเองในตอนนี้ แม้ว่าจะเป็นอันดับ 2 แต่ก็ยังห่างชั้นกับ Binance อันดับ 1 มาก ดังนั้นตัวช่วยอย่างหนึ่งที่จะทำให้สำเร็จได้คือการใช้กฎหมายและการเมืองเข้าช่วย
Sam เป็นผู้บริจาคให้พรรคการเมืองฝั่ง Democrat เป็นจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการใช้เพื่อการเลือกตั้ง Midterm
และมีการเสนอ Crypto Regualtion ที่ค่อนข้างเอียงไปทางการริดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้งานอีกด้วย ทำให้ผู้ใช้งานหลายคนเริ่มมอง Sam เป็นศัตรูและคิดว่าจุดประสงค์ของ Sam นั้นมีเรื่องลึกลับที่แอบปิดบังอยู่ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายเพื่อสกัดคู่แข่งก็เป็นได้
เรื่องเหล่านี้ล้วนอาจเป็นมูลเหตุให้ CZ ไม่พอใจ Sam เป็นอย่างมากจนโจมตี Sam อย่างรุนแรงใน Twitter
FTT หลุดแนวรับที่ 22 ดอลลาร์สหรัฐ (Update: 08/11/2022
เช้า)
หลังจาก Caroline เสนอการรับซื้อแบบ OTC ได้เพียงหนึ่งวันราคา FTT ก็โดนเทขายอย่างรุนแรงจนหลุดราคาแนวรับที่ 22 ดอลลาร์สหรัฐไปต่ำสุดที่ 15 ดอลลาร์สหรัฐหรือติดลบ 32% นอกจากนี้ SOL ซึ่งเป็นเหรียญที่อยู่บน Balance Sheet ของ Alameda Research ก็ถูกเทขายติดลบ 15% อีกด้วย
ในระหว่างนั้นก็มีธุรกรรมบน Etherescan จาก Genesis Trading: OTC Desk พบว่ามีการโอนขาย 3,197,914 FTT มูลค่า 53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลายคนคิดว่าเป็น Binance ที่รับข้อเสนอจาก Alameda Research แต่ไม่นาน CZ ก็ออกมาปฏิเสธว่าไม
ในช่วงเวลาเดียวกัน ราคาเหรียญ BIT ของ BitDAO ก็ราคาร่วงกว่า 34% ทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อแลกเปลี่ยนระหว่าง BitDAO และ Alameda Research เมื่อหนึ่งปีก่อนซึ่งทำการแลก 100,000,000 BIT กับ 3,362,315 FTT กันและทำสัญญาจะไม่ขายเหรียญเป็นเวลา 3 ปี แต่เหตุการณ์ในตอนนี้ที่ Alalemda Research กำลังถูกครหาในความแข็งแกร่งทางงบดุลจึงอาจจะแอบเทขายได้ Ben Zhou Co-founder ของ BYBIT จึงตั้ง Twitter ถาม Caroline
ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่กี่ชั่วโมงถัดมา Caroline ก็ตอบกลับว่าไม่ได้ขายและแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการโอน BIT ทั้งหมดไปไว้ในกระเป๋าที่ถูกเปิดเผย ดังนั้นเมื่อทุกอย่างคลี่คลาย ราคา BIT จึงเด้งกลับไปที่เดิม
และในขณะเดียวกันก็มีการเทขาย 20,342 stETH (ประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นเหรียญ ETH ที่ถูกลอคอยู่ในแพลตฟอร์ม Lido ซึ่งก็มีการคาดการณ์ว่าอาจจะเป็น Alameda Research ก็ได้
ดังนั้น ในตอนนี้ที่สถานการณ์ของ Alameda Research ยังมีความเสี่ยงที่อาจทำให้ตลาดคริปโทฯ ล่มสลายได้ หากล้มจริงอาจจะกระทบหนักกว่าการล่มลายของ Terra ก็เป็นได้ การลงทุนในช่วงนี้จึงต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นอย่างสูง
อัพเดทต่อจากของวันที่ 8/11/22 เช้า
CZ ประกาศซื้อ FTX ด้วยสัญญาแบบไม่ผูกมัด
ในช่วงวันที่ 8 พฤศจิกายน ประมาณ 5 ทุ่ม ทาง CZ ได้ประกาศว่าเขาได้รับสายจาก Sam โดยมีเนื้อหาว่า FTX มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องอย่างรุนแรงและต้องการความช่วยเหลือ CZ จึงประกาศช่วยเหลือเพื่อไม่ให้นักลงทุนได้รับผลกระทบ โดยได้ทำหนังสือแสดงเจตจํานง (LOI) แบบไม่ผูกมัด (Non-Binding) ในความต้องการซื้อกิจการ FTX.com โดยจะทำ Due Diligence หลังจากนี้
ข่าวดีนี้ทำให้ตลาดคลายความกังวลได้อย่างมากจนดึงราคาให้ Cryptoccurency ทุกตัวขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะ FTT ที่ขึ้นสูงถึง 38% เพื่อตอบรับกับข่าวนี้
อย่างไรก็ตาม ความคลายกังวลนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่ออ่านดูสิ่งที่ CZ ประกาศออกมานั้นล้วนเป็นเรื่องที่ยังไม่ผูกมัดทั้งสิ้น มีโอกาสที่ดีลนี้จะล่มสูงเช่นกันเพราะ
- กฎหมายต่อต้านการผูกขาด (Antitrust law): CZ เป็นเจ้าของ Binance Exchange อันดับ 1 ของโลก มาซื้อ FTX ที่อยู่อันดับ 2 จะเป็นการกินส่วนแบ่งตลาดมากถึง 80% จนอาจมีปัญหาในเรื่องการผูกขาดได้
- ปัญหาของ FTX: CZ ประกาศชัดเจนว่าเป็นการแสดงความจำนงในการซื้อแต่ยังไม่ผูกมัดจนกว่าจะได้ทำ Due Diligence จนแน่ใจก่อน ดังนั้นหากปัญหาสภาพคล่องที่ FTX เจอนั้นใหญ่จริงอาจจะมีปัญหาได้
ความกังวลเหล่านี้ส่งผลให้ไม่ถึง 2 ชั่วโมงราคาก็ร่วงลงมา 86% ทำ New Low ใหม่ทันที
นักลงทุนถอนเงินออกจาก FTX ไม่ได้
สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนควรทำอย่างยิ่งเมื่อเกิดความไม่แน่นอนคือการคิดถึงผลที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นได้ อย่างในกรณีของ Alameda Research ที่อาจล้มละลาย นักลงทุนควรจะถอนสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ FTX ออกให้หมดเพราะเราไม่สามารถเชื่อใจได้ว่ามันจะไม่กระทบจริงหรือไม่
ในช่วงที่เกิดเรื่องขึ้นตั้งแต่การหลุดของงบดุลวันที่ 2 พศฤจิกายนจนถึงก่อน Binance ประกาศซื้อ FTX ข้อมูลของ Coindesk แสดงให้เห็นว่ามีการถอนเงินออกจาก FTX จำนวน 451 ล้านดอลลาร์สหรัฐทิ้งห่าง Exchange หลายแห่งอย่างมาก
มีการเพิ่มดอกเบี้ยกู้บน FTX ด้วยอัตราที่ผิดปกติแม้ว่าจะมีการกู้ที่ไม่เยอะเท่าแต่ก่อนก็ตาม
เมื่อเจาะให้ลึกเข้าไปถึงแต่ละบัญชี จะเห็นว่ารายใหญ่ลดความเสี่ยงด้วยการถอนเงินออกจำนวนมหาศาลอย่างบัญชีของ Nexo คนเดียวก็ถอนออกไปมากกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้อาจจะลดความเสี่ยงตามปกติหรือรู้เบื้องลึกภายในก็เป็นไปได้
มีคนติดตามข้อมูล On-chain พบว่า FTX จำเป็นต้องเติมเงินเข้ามาจำนวนมหาศาลที่กระจายไว้ตาม Wallet ต่างๆเพื่อเอามาเติมให้เพียงพอในการรองรับการถอน โดยมีทั้งการโอน Stablecoin เข้ามาหรือการขายเหรียญอื่นมาเป็น Stablecoin เพื่อรองรับการถอน
อย่างไรก็ตาม การถอนเงินออกจาก FTX ในช่วงก่อนวันที่ 8 พศฤจิกายนนั้นก็ยังเกือบเป็นปกติแม้ว่าจะมีการรอหลายชั่วโมงกว่าที่เงินจะเข้าก็ตาม แต่ในช่วงตอนเย็นของวัน มีคนสังเกตเริ่มรอนานผิดปกติจนไปดูใน Ethereum Blockchain พบว่าธุรกรรมการโอนออกจาก FTX นั้นไม่มีการเคลื่อนไหวมาหลายชั่วโมงเหมือนกับการปิดถอน แต่บนหน้าเว็บนั้นยังไม่มีประกาศใดๆก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็พบว่าการถอนเปิดให้ทำได้อีกครั้ง ก็ยิ่งมีคนถอนเงินออกเป็นจำนวนมากเช่นเดิม ซึ่งสุดท้ายก็ปิดถอนต่ออีกครั้ง
สุดท้ายในช่วงดึกคืนนั้น WSJ รายงานว่ามีคนที่ดูแลเรื่องดีล Binance ซื้อ FTX ชี้ว่าดีลนี้อาจล่มได้เนื่องจากพบ “ปัญหาด้านการเงินขนาดใหญ่” แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันใดๆ แต่สิ่งที่ FTX ทำอย่างการปิดถอนโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าก็เป็นสัญญาณเตือนขั้นรุนแรงว่าปัญหานี้อาจใหญ่จริง
ประกาศยกเลิกดีลของ Binance
จากข่าวลือว่าดีลล่มในคืนก่อน ไม่เกิน 6 ชั่วโมง หรือวันที่ 10 พฤศจิกายน ช่วงเวลา 4:00 ก็มีประกาศอย่างเป็นทางการจาก Binance ว่า “จากการทำ Due Dilignece พบว่ามีการใช้เงินของลูกค้าในทางที่ผิด แล้วปัญหาเรื่องสภาพคล่องนั้นใหญ่เกินกว่าเราจะแก้ปัญหาได้”
พร้อมกันกับการประกาศของ Sam ที่บอกว่า FTX ต้องการเงินทุนประกาศ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการช่วยเหลือ ซึ่งหากไม่ได้รับมีสิทธิ์ที่ FTX จะล้มละลาย
Sam ได้ออกมาทวีตหลังจากนั้นว่าเขารู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เค้าประเมินสถานการณ์ผิดไปอย่างเช่นวันอาทิตย์ที่ผ่านมามีเงินถอนออกถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ต่อวัน อย่างไรก็ตามเค้าจะรับผิดชอบต่อผู้ใช้งานทุกวิถีทาง พร้อมย้ำว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับ FTX International เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับ FTX US
ซึ่งเรื่องในขณะที่เขียนได้ถูกส่งไปยัง ก.ล.ต. สหรัฐแล้ว
การเปิดถอนเฉพาะชาว Bahamas
วันที่ 10 พฤศจิกายน มีคนสังเกตใน On-chain ว่าสามารถถอนเงินได้อีกครั้ง แต่ก็พบว่ามีบางคนเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งก็ได้มีประกาศจาก FTX ในวันถัดมาออกมาในภายหลังว่า..
FTX จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อบังคับและหน่วยงานกำกับดูแลของประเทศ Bahamas โดยการเปิดให้คนที่อยู๋ในประเทศสามารถถอนเงินออกได้ เพราะฉะนั้นจึงเห็นการถอนบางธุรกรรมเท่านั้นที่สามารถถอนได้
อภิสิทธิ์สำหรับชาว Bahamas ที่สามารถถอนเงินออกได้จาก FTX เพียงประเทศเดียวนั้นได้ทำให้หลายคนพยายามทุกทางในการเปลี่ยนสัญชาติในการยืนยันตนใน FTX เป็นชาว Bahamas ยกตัวอย่างเช่น Algod ซึ่งเป็น Crypto Twitter ชื่อดังที่มีเงินอยู่ใน FTX มากกว่า 40% ของ Portfolio ก็เสนอเงิน 100,000 ดอลลาร์แก่คนใน FTX ที่สามารถเปลี่ยนที่อยู่ได้ (ภายหลังสามารถเปลี่ยนและถอนเงินออกได้)
หรือการติดต่อกับคน Bahamas ในการเป็นทางผ่านในการโอนเงินออกจาก FTX ให้ Twitter Lookonchain พบว่ามีธุรกรรมผิดปกติจาก Address หนึ่งที่มีเงินออกมามากกว่า 9.1 ล้านดอลลาร์แล้วโอนไปที่อื่นทันทีหลังจากได้รับ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่ามีการขายนอกตลาด (OTC) กันหลังจากนี้
โดยช่องทางการโอนเงินให้ชาว Bahamas ได้ในแอพ FTX นั้นทำด้วยการซื้อ NFT ของชาว Bahamas นั่นเอง ในช่วงที่เริ่มต้นเปิดถอน Volume การซื้อขาย NFT บน FTX นั้นพุ่งสูงขึ้นถึง 50 ล้านดอลลาร์ภายใน 24 ชั่วโมง และราคา NFT นั้นก็สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อย่างไรก็ตาม 2 วันหลังจากประกาศของ FTX ทาง Securities Commission of The Bahamas ก็ได้ประกาศว่าประกาศที่ FTX เผยแพร่นั้นไม่เป็นความจริง ไม่มีหน่วยงานไหนใน Bahamas เป็นคนสั่งให้เปิดถอนเฉพาะชาว Bahamas ดังนั้นข่าวที่ประกาศออกมาอาจเป็นการพยายามเอาเงินออกของ Sam และพักพวกครั้งสุดท้ายก็ได้เพราะ Sam ปาศับอยู่ในประเทศ Bahamas
*อีกช่องทางหนึ่งในการโอนสินทรัพย์ออกจาก FTX เกิดจากดีลของ Justin Sun ที่ประกาศความร่วมให้นักลงทุนที่ถือ TRX, BTT, JST, SUN และ HT บน FTX สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญเดิมแต่อยู่บน TRON Blockchain ได้ในอัตราส่วน 1:1 ทำให้ราคาเหรียญเหล่านี้พุ่งขึ้นชั่วคราวก่อนจะตกลงไปและไม่มีความคืบหน้าต่อสำหรับการโอนเงินออกด้วยวิธีนี้
FTX แอบนำเงินฝากของลูกค้าไปให้ Alameda Research ยืมลงทุนได้อย่างไร
ในการประชุมนักลงทุนของ Sam ได้กล่าวว่า Alameda Research เป็นหนี้ FTX อยู่ทั้งหมด 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเงินฝากของลูกค้าจำนวน 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินต้น นอกจากนี้ Alameda Research ยังเป็นหนี้บริษัทด้านการเงิน (ไม่ระบุชื่อ) อีกจำนวน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยเป็นอย่างมากว่า Alameda สามารถยืมเงินเหล่านี้ได้อย่างไร
ในวันที่ 17 พฤศจิกายน มีนักลงทุนท่านหนึ่งเริ่มขุดประวัติการทำธุรกรรม OTC กับ FTX แล้วพบว่า ต้องโอนไปที่ Alameda Research ไม่ใช่ FTX จึงอาจจะเป็นไปได้ว่าเงินของลูกค้าทั้งหมดนั้นถูกดูแลโดย Alameda Research ทั้งหมดแม้ว่าในเบื้องหน้าเราจะตั้งใจฝากเงินไว้กับ FTX ก็ตาม ซึ่งในภายหลังเรื่องนี้ก็เป็นความจริงเพราะ Sam กล่าวว่า FTX ไม่มี Bank Account เงินทุกอย่างจะอยู่ที่ Alameda Research
เรื่องนี้จึงสามารถอนุมานได้เช่นกันว่าจริงๆแล้ว เงินทั้งหมดอยู่ที่ Alameda Research มาโดยตลอดโดยตอนที่ลูกค้าเติมเงินเข้ามานั้น ทาง FTX ก็ Credit เงินของลูกค้าเข้ามาใน Application FTX
FTX Application มี Backdoor ในการแอบเอาเงินของลูกค้าไปลงทุน
การที่เงินของลูกค้าถูกเอาออกไปใช้ได้โดยที่ผ่านการตรวจสอบของฝ่ายบัญชีทั้งภายในและนอกบริษัทได้นั้นเริ่มมีความจริงปรากฎมาแล้วจากการที่มีคนวงในบริษัท FTX เล่าว่า Sam ได้สั่งให้ Gary Wang CTO สร้าง Backdoor ใน FTX Application เพื่อลักลอบเอาเงินฝากของลูกค้าไปให้ Alameda Research หรือบริษัทอื่นๆกู้ยืมเพื่อลงทุนได้
แม้ว่าข่าวนี้จะยังไม่ได้ระบุแหล่งที่มาชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่ Sam ไม่สามารถให้คำตอบแก่นักลงทุนได้คือเงินฝากของนักลงทุนหายไปไหนกว่า 8,000 – 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยที่เจ้าตัวก็บ่ายเบี่ยงและกกล่าวโทษถึงการลงบัญชีที่ผิดพลาดจนทำให้เขาไม่ทันระวังถึงเรื่องนี้
*เรื่อง Backdoor นี้จะถูกพูดถึงอีกครั้งในข้อถัดไป
FTX ประกาศล้มละลายตามมาตร 11
วันที่ 11 พฤศจิกายน ช่วงเช้า มีข่าวจากทาง Reuters ว่า FTX หานักลงทุนมาช่วยเหลือโดยตั้งเป้าไว้ที่ 9,400 ล้านดอลลาร์ ประกอบด้วย Justin Sun, OKX และ Tether (CTO ยืนยันภายหลังว่าไม่จริง) ซึ่งระดมทุนได้คนละ 1,000 ล้านดอลลาร์ และมีข่าวว่ากลุ่มทุน West Ham Capital กำลังรวมเงินให้ได้ 15,000 ดอลลาร์เพื่อซื้อ FTX และเปลี่ยนให้ควบคุมแบบกระจายศูนย์ (DAO) ซึ่งผ่านไปยังไม่ครบ 1 วัน FTX ก็ประกาศยื่นล้มละลายอย่างเป็นทางการ
FTX ยื่นล้มละลายและทำแผนฟื้นฟูกิจการภายใต้มาตราที่ 11 (Chapter 11) หลังมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องมาตลอดหลายวัน พร้อมกันกับการลาออกของ Sam Bankman-Fried พร้อมทั้งแต่งตั้ง John Ray III ที่เคยกอบกู้ Enron หลังจากบริษัทล้มละลายเข้ามาแก้ไขสถานการณ์แทน
“Chapter11” คือการยื่นล้มละลายแบบฟื้นฟูกิจการ โดยผู้ยื่นยังมีความต้องการทำธุรกิจต่อ ทำให้เจ้าหนี้ในตอนนี้ไม่สามารถทวงหนี้จาก FTX ได้เลย การยื่นลักษณะจะทำให้ FTX มีเวลาคิดและแก้ปัญหาได้โดยที่ไม่ต้องมีเจ้าหนี้บีบให้ต้องขายสินทรัพย์ทิ้งเพื่อคืนเงิน ในอดีตตอน Mt. Gox Exchange ที่เคยเป็นอันดับหนึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ยื่น CHpater 11 เช่นเดียวกันซึ่งผ่านมา 8 ปีแล้วนักลงทุนก็ยังไม่ได้รับเงินคืน
การยื่นล้มละในครั้งนี้ไม่รวม FTX Digital Markets, FTX Australia, FTX Expess Pay และ LedgerX (ซึ่งทำธุรกิจเป็น FTX US Derivatives) FTX ประเมินความเสียหายในครั้งนี้ว่า
- ผู้เสียหายมากกว่า 100,000 คน
- มูลค่าสินทรัพย์ 10,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์
- มูลค่าหนี้สิน 10,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์
FTX ถูกแฮคหลังประกาศล้มละลาย
หลังจากประกาศล้มละลายได้เพียง 1 วัน ช่วงเช้าของวันที่ 12 พฤศจิกายน กระเป๋าของ FTX ที่ควรจะถูก Freeze ไว้จากการยื่นล้มละลายได้มีการเคลื่อนไหวโดยโอน USDC และ USDT ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ออกจาก Exchange แล้วแปลงเป็น DAI ทันที มีการคาดการณ์ว่าเป็นการโดนแฮคเนื่องจาก Tether และ Circle ไม่สามารถ Blacklist DAI ได้
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายเหรียญถูกโอนออกจาก Exchange FTX มากขึ้นเรื่อยๆทั้ง PAXG, LINK, MATIC, AAVE, SNX, SHIB และ APE หลังจากนั้นก็มีการ Swap เป็น ETH เพื่อพักเงิน (ETH เป็นอีกเหรียญที่ไม่สามารถโดน Blacklist ได้เช่นกัน)
ในช่วงนั้นเอง Website ของ FTX ก็ปิดชั่วคราวและ App ก็มีการสั่งให้อัพเดท ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะช่วงเวลาที่โอนออกนั้นเป็นช่วงเวลาที่ที่มีธุรกรรมน้อยเหมือนกับพยายามเลี่ยงคน ดังนั้นทุกคนจึงเห็นตรงกันว่าน่าจะเป็น Hacker
หลังจากนั้น FTX Admin ก็ได้ประกาศใน Telegram ว่า FTX ถูกโจมตีจาก Malware ให้ลบแอพทิ้งไปก่อน
ซึ่งเมื่อ Track ธุรกรรมของ Hacker พบข้อสังเกตหลายอย่างที่น่าคิดว่าอาจเป็นคนในที่ยังไม่มีประสบการณ์ทำเอง เพราะผู้ร้ายโอน TRX บางส่วนมาอยู่บน TRON Blockchain เพื่อแปลงเป็น USDT แต่ดันพลาดที่ Swap จนหมดไม่เหลือ TRX พอในการใช้เป็นค่าธรรมเนียม ซึ่งสุดท้ายผู้ร้ายโอน TRX ไปเติมใน Wallet ด้วย Account ใน Kraken ซึ่งกว่ากระบวนการจะเสร็จ USDT นั้นก็โดน Blacklist จาก Tether ไปแล้ว หลังจากนั้น Nick Percoco CSO ของ Kraken ก็ประกาศว่ารู้ตัวคนร้ายแล้ว
ในตอนนี้หลายกระเป๋าของ Hacker ได้รวมอยู่ในกระเป๋าเดียวและแปลงเป็น ETH เกือบทั้งหมดแล้ว โดยมีอยู่ประมาณ 241,471 ETH ขึ้นอันดับเป็น Top 50 ETH Holder จุดนี้ก็ยังเป็นความเสี่ยงที่ยังต้องติดตามว่าจะโอนไปไหนต่อ (Updated: 18/11/22)
Proof of Reserve
ในช่วงที่ CZ ทำสัญญาแบบไม่ผูกมัดในการเข้าซื้อ FTX เขายังได้เสริมอีกเรื่องในการสนับสนุนให้ Crypto Exchange ทุกเจ้าทำ Merkle-Tree Proof-of-Reserve หรือการเปิดเผยทุก Wallet ของ Exchange ว่ามีเงินอยู่เท่าไหร่บ้างในแต่ละช่วงเวลาแล้วใช้ Merkle Tree Algorithm ในการรวมข้อมูลชุดใหญ่ให้เหลือเพียง Hash เดียวเพื่อใช้ในการตรวจสอบ การทำหน้าที่นี้จะทำโดย Audit ภายนอกโดยหวังว่าจะเพิ่มความโปร่งใสให้กับวงการนี้มากขึ้นและคอยสอดส่องพฤติกรรมของ Exchange ว่าไม่ได้มีการนำเงินของลูกค้าไปใช้ลงทุนตามที่ต่างๆ โดย Binance จะเริ่มต้นทำโดยการเปิดเผย “ทุก Wallet ของ Binance” ในตอนนี้และเข้าร่วมการทดลองทำ Merkle-Tree Proof-of-Reserve กับ Vitalik Buterin Co-Founder ของ Ethereum
การยกมาตรฐานความโปร่งใสของ Binance ทำให้ Exchange อื่นๆต้องทำตาม แต่ลำ Exchange ก็มีรูปแบบการเปิดเผยที่แตกต่างกัน ยกตัวเช่น Huobi จะเป็น Proof-of-Reserve ธรรมดาที่ระบุวันที่ในการ Snapshot ว่ามีเหรียญอะไรบ้าง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วการทำแบบนี้ยังไม่โปร่งใสพอเพราะเป็นการ Snapshot เท่านั้น ระหว่างก่อนหน้าและหลังจาก Snapshot เงินก้อนนี้อาจจะถูกนำไปใช้ทำอย่างอื่นได้โดยที่ไม่มีใครทราบ
ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนคือ วันที่ 21 ตุลาคม Crypto.com ได้ส่ง 320,000 ETH ไปยัง Gate.io หลังจากนั้น 6 วันก็ส่งกลับมา 285,000 ETH หายไป 35,000 ETH เมื่อสอบถามไปที่ Marszalek CEO ของ Crypto.com พบว่าเหมือนจะเป็นการโอนผิด ส่วน 35,000 ETH นั้นโอนไปยังอีก Wallet ของ Crypto.com เพราะฉะนั้นเงินทั้งหมดยังปลอดภัยดี และ FUD เรื่องการวนเงินเพื่อทำการ Snapshot ของ Gate.io นั้นไม่เป็นความจริงเพราะเรื่องเกิดนานแล้ว และ Proof-of-Sreserve ทำวันที่ 19 ตุลาคม เพราะฉะนั้น ETH ที่โอนมาไม่รวมอยู่ในการ Snapshot ของ Gate.io และ Crypto.com แน่นอน
สำหรับ Kraken นั้นมีความใกล้เคียง Merkle-Tree Proof-of-Reserve มากที่สุด โดยการทำเป็นประจำทุกๆ 6 เดือนอยู่แล้ว นักลงทุนสามารถตรวจสอบเงินของตัวเองได้ผ่านการทำ Record ID ไปตรวจบน Website Audit ที่ Kraken ใช้บริการ หรือถ้าอยากตรวจสอบด้วยตัวเองสามารถใช้ Merkle Hash เพื่อตรวจทุกอย่างเองได้เช่นกัน
นักลงทุนที่ได้รับผลกระทบ
WuBlockchain สำนักข่าวด้านคริปโทฯ จากประเทศจีนได้รวบรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นของนักลงทุนที่ลงทุนใน FTX และ Alameda Research โดยมีทั้งเปิดเผยตัวเลยและยังไม่เปิดเผย เราจะเห็นว่าทั้งหมดที่เปิดเผยตัวเลขรวมเป็นเงินมากกว่า 1,223.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนของกลุ่มที่ยังไม่เปิดเผยที่อาจมีความเสียหายที่หนักไม่แตกต่างกัน
นอกจากผลกระทบทางตรงในเรื่องเม็ดเงินลงทุนแล้ว ยังมีผลกระทบเชิงอ้อมต่อตลาดคริปโทฯ ที่อาจหนักหนากว่าสิ่งที่วัดเป็นมูลค่าได้อีกเช่นกัน นั่นก็คือ “ความเชื่อมั่น” ใน Cryptocurrency เพราะไม่บ่อยครั้งที่ Exchange อันดับ 2 ของโลกจะพังทลายลงภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 เท่านั้น โดย FTX นั้นได้รับเงินระดมทุนใน Series A, B และ C รวมกันมากกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์โดยนักลงทุนคิด Valuation ของบริษัท FTX ตอน Series C ล่าสุดเดือนมกราคมไว้สูงถึง 32,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากนี้ภาพลักษณ์ของตลาดคริปโทฯน่าจะซบเซาลงมากจากเม็ดเงินที่ไหลออกไปตลาดพันธบัตรสหรัฐที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ และส่วนที่ไม่กล้าลงทุนเพิ่มจนกว่าสถานการณ์จะสงบมากกว่านี้ หลังจากนี้เราจะได้เห็นการชะลอตัวของการลงทุนในด้านนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน
Binance จะช่วยเหลือบริษัทที่มีปัญหา
เหตุการณ์ล่มสลายของ FTX ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทำให้บริษัทที่ FTX หรือ Alameda Research เคยลงทุนได้รับผลกระทบลงไปด้วย ยกตัวอย่าง เช่น BlockFi ที่ FTX เคยกอบกู้จากการล้มละลายก็ปิดถอนเพราะไม่สามารถดำเนินกิจการได้ตามปกติ
FTX และ Alameda Research ลงทุนในโปรเจกต์ต่างๆไว้หลายแห่งมาก โดยบางอันอาจจะเป็นการร่วมทุนหรือลงทุนหลักซึ่งหากโปรเจคเหล่านั้นมีเหรียญก็ควรระวังว่าโปรเจกต์นั้นจะขาดเงินทุนจนพัฒนาต่อได้ยาก หรืออาจโดนเทขายเหรียญไปก่อนหน้าที่จะประกาศล้มละลายแล้วก็เป็นไปได้ ดังนั้นกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่ต้องติดตามว่าจะยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกแค่ไหน
ซึ่งปัญหาที่หลายๆโปรเจกต์เจอนั้น CZ เองก็ทราบดี ทำให้วันที่ 14 พฤศจิกายน เขาได้ประกาศสร้าง Recovery Fund ที่จะช่วยเหลือโปรเจกต์ที่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องให้สามารถติดต่อ Binance Labs ได้
ซึ่งหลังจาก CZ ได้ประกาศไปก็มี Justin Sun เจ้าของ Tron, Huobi Global และ Poloniex จะร่วมให้เงินสนับสนุนอีกด้วย
ความพยายามในการแอบลบ Tweet ของ Sam
หลังจาก FTX ยื่นขอล้มละลาย Sam ก็หายตัวไปเลยจนกระทั่งวันที่ 14 พฤศจิกายน อยู่ดีๆ Sam ก็โพสต์มาว่า “1) WHAT” เท่านั้น หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงก็พิมพ์ว่า “2) H” ต่อโดยที่ทุกคนก็ยังงงๆว่าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?
อย่างไรก็ตาม มีคนจับสังเกตได้ว่าระหว่างที่ Sam โพสต์ใหม่หนึ่งครั้ง จะมีการลบโพสต์เก่าออกไป 1 ครั้งเช่นกัน เพื่อทำให้จำนวนโพสต์ทั้งหมดของเข้ามีเท่าเดิม เพื่อหวังให้ Bot ไม่สามารถจับสังเกตได้ แต่โชคร้ายที่มีคนสังเกตและ Bot ก็ยังจับได้แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เขาทำก็ตาม
ความพยายามทำลายหลักฐานนี้ (แม้จะไม่สำเร็จก็ตาม) อาจเชื่อมโยงไปถึงพ่อแม่ของ Sam คือ
Joseph Bankman และ Barbara Fried ซึ่งทั้งคู่เป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่ Stanford ทำให้มีความเป็นไปได้มากว่าอาจมีการแนะนำ Sam ให้เคลียร์ข้อมูลที่ดูไม่ดีออกทั้งหมดเพื่อไม่ให้เป็นหลักฐานมัดตัวในชั้นศาล
CEO คนใหม่ของ FTX
John J. Ray III CEO คนใหม่ของ FTX เคยมีประวัติการจัดการบริษัท Enron ที่เคยล้มละลายมาก่อน เข้าเล่าว่าตลอดการทำงานในช่วง 40 ปี ไม่เคยเจอบริษัทไหนที่มีการบริหารจัดการภายในได้แย่เท่านี้มาก่อน ยกตัวอย่างเช่น
- การชำระเงิน (Disbursement): ไม่มีรูปแบบทางการตามความเหมาะสมของบริษัทใหญ่ แต่ให้พนักงานส่งคำร้องผ่านแพลตฟอร์มโปรแกรม Chat On-line (เข้าใจว่าหมายถึง Slack) โดย Supervisor จะตอบกลับหรืออนุมติด้วยการส่ง Emoji เฉพาะตัวเป็นการยืนยันตัวตน
นอกจากนี้ เขากล่าวว่า FTX “ไม่เก็บหนังสือและบันทึกที่เหมาะสมหรือควบคุมความปลอดภัย” สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล แถมยังใช้บัญชีอีเมลที่ใช้ร่วมกันที่ไม่ปลอดภัยเพื่อเข้าถึงคีย์ส่วนตัว และจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่สามารถแสดงรายชื่อผู้ที่ทำงานให้กับบริษัทได้ ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน
ต้องมาติดตามกันต่อไปว่าเรื่องราวการขอยื่นฟื้นฟูกิจการตาม Chapter 11 ของ FTX จะยาวนานแบบ MT. Gox ที่ผ่านมาแล้ว 8 ปี นักลงทุนก็ยังไม่ได้รับเงินคืน
ETH ในมือ Hacker เริ่มเคลื่อนไหว
วันที่ 20 พศฤจิกายน กระเป๋าของ Hack Address 0x59ABf3837Fa962d6853b4Cc0a19513AA031fd32b ได้ย้ายไปที่ 0x866EeEcd1F248d1a0a2e0263F13594a6B8B7c01A และเริ่มมีการเทขาย 40,735 ETH (47.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่ถืออยู่เป็น WBTC แล้วแปลงเป็น renBTC แล้ว มีการคาดว่า Hacker จะ Burn renBTC เพื่อ Bridge BTC กลับไปที่ Bitcoin Blockchain เพื่อให้คนสะกดรอยตามได้ยากมากขึ้น
อัพเดทบริษัทที่เริ่มประกาศมีปัญหา
14/11/22: AAX Crypto Exchange สัญชาติเกาหลีใต้ประกาศปิดถอน
16/11/22: BlockFi เตรียมยื่นล้มละลายและเตรียมปลดพนักงาน
19/11/22: Ren Cross-chain Protocol ซึ่งถูกซื้อกิจการจาก Alameda เมื่อต้นปี ตอนนี้มีเงินทุนในการพัฒนาเหลือเพียงพอถึงสิ้นปีเท่านั้น
FTX Digital Markets ประกาศยื่นล้มละลายตามมาตรา 15 ที่ศาลในนิวยอร์ก
ในวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา Sam Bankman-Fried อดีต CEO ของ FTX ได้ประกาศล้มละลายตามมาตรา 11 เพื่อขอฟื้นฟูกิจการ และแต่งตั้ง John J. Ray III รับหน้าที่เป็น CEO เพื่อช่วยการฟื้นฟูนี้ให้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยที่ตัวเขานั้นได้กล่าวขอโทษที่ทำผิดพลาดและลาออกจากการเป็น CEO มูลค่าความเสียหายและหนี้สินนั้นอยู่ระหว่าง 10,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีจำนวนผู้เสียหายมากกว่า 100,000 คน
อย่างไรก็ตามวันที่ 16 พฤศจิกายน FTX Digital Markets บริษัทลูกของ FTX ที่ตั้งอยู่ในประเทศ Bahamas ได้ประกาศยื่นล้มละลายตามมาตรา 15 ที่ศาลแขวงสหรัฐสำหรับเขตทางตอนใต้ของนิวยอร์ก
Chapter 15 มีลักษณะคล้าย Chapter 11 แต่เป็นการยื่นเรื่องเพื่อขอฟื้นฟูกิจการข้ามชาติ โดยการฟ้องในครั้งนี้เกิดจากการรวมตัวกันของเจ้าหนี้มากกว่า 1 ล้านรายใน Bahamas
Brian Simms ทนายความผู้เป็นตัวแทนในการยื่น Chapter 15 ได้อธิบายว่า โดยสรุปว่า FTX Digital Markets เป็นบริษัทแม่ของบริษัทในเครือ FTX ทั้งหมด จึงมีความชอบธรรมในครั้งนี้ ล่าสุดวันที่ 28 พฤศจิกายน Ryan Pinder อัยการสูงสุดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการกฎหมายของ Bahamas ออกมาไลฟ์ว่าเรื่อง FTX ล้มละลายนั้นทางรัฐบาล Bahamas จะเป็นผู้จัดการเองและจะ “ไม่เปิดเผยข้อมูลการสืบสวน” ให้ทราบ พร้อมทั้งกล่าวว่า John บิดเบือนข้อเท็จจริง และอยากให้ทุกคนอย่าทำอะไรที่กระทบต่อการสืบสวน ซึ่ง Sam ได้มีท่าทีเห็นด้วยกับ Chapter 15 จากการ Retweet การไลฟ์ครั้งนี้
คำเตือนความเสี่ยง ⚠️
คริปโทเคอร์เรนซี่มีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต
Author
-
A guy who loves crypto like Bitcoin and Ethereum. He's not the best writer, but his love for DeFi makes up for it. He's an easygoing guy who makes learning about crypto fun and easy.
View all posts