Bitcoin ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องหลังจากการประชุม Jackson’s hole ไม่เป็นไปตามที่นักลงทุนทั่วโลกคาดหวัง แต่ตอนนี้กราฟราคาได้มีการทำสัญญาณที่น่าสนใจบางอย่าง มันจะกลับตัวเป็นขาขึ้นหรือลงต่อ มาหาคำตอบกัน
สำหรับ TF day หลังจากที่ได้มีการทิ้งตัวหลุดการขึ้นแบบ Side way up เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา การลงในครั้งนี้ราคาได้เกิดการทำสัญญาณที่ น่าสนใจคือเป็นการลงที่ไม่หลุดแนวรับสำคัญของ TF day (เส้นสีแดง) พร้อมกับ Stochastic RSI และ RSI ต่างทำ Oversold ทั้งคู่ในรอบหลายเดือน(วงกลมสีฟ้า) จึงมองว่าการลงครั้งนี้จะเป็นแค่การพักตัวและ Bitcoin ยังมีโอกาสขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ เหนือ 25,000$ ได้ ตราบใดที่ราคาไม่หลุดไปทำจุดตำ่สุดใหม่
สำหรับ TF 4 ชั่วโมงที่เป็นการวิเคราะห์ระยะสั้น ยังมีความน่ากังวลเนื่องจากราคายังอยู่ในแนวโน้มขาลง แม้ว่าจะมีการเด้งขึ้นในระยะสั้นแต่ยังคงมองว่าเป็นการเด้งเพื่อลงต่อและมี เป้าขาลงที่โซน $18,900 – $18,500 ตามลูกศรสีแดง หรืออีกกรณีหนึ่งคือการขึ้นไปที่แนว $21,000 เพื่อลงไปต่อตามลูกศรสีเขียว แต่อย่างไรก็ตามใน TF day เรามองว่าเป็นการพักตัวเพื่อการขึ้นรอบใหม่ จึงต้องจับตามองสัญญาณการกลับตัวอย่างใกล้ชิด
โดยสรุปในภาพใหญ่ยังคงมองว่าเป็นการพักตัวเพื่อขึ้นต่อ แต่ใน TF 4 ชั่วโมงยังคงเป็นขาลงทำให้การเก็งกำไรขา Short ได้เปรียบกว่า แต่ถ้าหากกราฟใน TF 4 ชั่วโมงมีการเปลี่ยนเป็นขาขึ้นจะทำให้ TF day มีโอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้นได้
สำหรับกราฟราคาของ Ethereum ใน TF day แม้ว่าจะมีการปรับตัวลงแต่ได้ทำสัญญาณที่น่าสนใจ เช่นเดียวกับ BTC คือการลงครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ Stochastic RSI ทำ Oversold ในรอบหลายเดือน (วงกลมสีฟ้า) ทำให้การลงในครั้งนี้ถือเป็นการพักตัวเพื่อขึ้นต่อในภาพใหญ่ ตราบเท่าที่ราคาไม่เคลื่อนตัวลงจนหลุดโซนแนวรับที่ $1,000 และถ้าเรานำ ทฤษฎี Elliot’s wave มาจับการปรับตัวลงในครั้งนี้จะมองว่าอยู่ในสถานะคลื่น 4 ของ Impluse wave และราคาจะต้องไม่หลุดต่ำกว่าหัวของคลื่น 1 ที่ราคา $1,280
สำหรับในภาพเล็กที่ TF 4 ชั่วโมง ETH ยังคงเคลื่อนที่อยู่ในแนวโน้มขาลง เนื่องจากการเด้งขึ้นในรอบนี้ยังคงไม่ทำ Higher high ได้ อย่างไรก็ตามจากการที่ TF day มีการทำสัญญาณที่บอกถึงโอกาสในการ กลับตัวเราจึงต้องจับตามองการลงมาทำ Oversold ของ Stochastic RSI (ลูกศรสีเหลือง) ว่าราคาหลุด low ก่อนหน้าที่ $1,420 หรือไม่ ถ้าหลุดจะเป็นการลงต่อไปหาเป้าขาลงที่ $1,300 ตามลูกศรสีแดง ส่วนถ้าหากการลงมารอบนี้ของ Sto ราคาไม่หลุด low ก่อนหน้าก็จะมีโอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้นได้ตามลูกศรสีเขียว
โดยสรุป การเคลื่อนที่ของราคา ETH มีสัญญาณที่น่าสนใจและมีโอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้นได้ แต่ใน TF ที่เล็กลงมา ราคายังคงเป็นแนวโน้มขาลง การเก็งกำไรในขา Short ยังคงได้เปรียบมากกว่า แต่ต้องจับตามอง TF 4 ชั่วโมงอย่างใกล้ชิดเนื่องจากใกล้มีการเปลี่ยนแนวโน้มของราคา
ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับดอลล่าร์สหรัฐอยู่ในกรอบประมาณ (36.7 – 35 บาทต่อดอลล่าร์) ซึ่งแนวรับที่ 35 เป็นแนวรับสำคัญที่เป็นจุดกลับตัวในช่วงที่บาทแข็งค่าจากการขึ้นดอกเบี้ยของ คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถใช้แนวรับนี้เป็นแนวรับในการตัดสินใจได้เช่นกัน โดยมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 36.7 ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญที่ราคายังไม่สามารถผ่านไปได้เช่นกัน
ทว่าการขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.25% ของไทยนั้นดูเหมือนจะยังดูไม่พอในสายของนักลงทุนสักเท่าไร เพราะว่าทางเศรษฐกิจของไทยนั้นอาจจะอยู่ในช่วงที่เปราะบางทำให้ไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยไล่ตามสหรัฐอเมริกาได้ ดังนั้นในระยะกลางถึงยาว เงินดอลล่าร์ถือว่ามี Narrative ที่แข็งแรงพอสมควร เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีภาพรวมเศรษฐกิจดีที่สุด ณ ตอนนี้
ในงานประชุม Jackson Hole ในช่วงที่ผ่านมา Jerome Powell ได้ทำการแถลงการณ์เกี่ยวกับทิศทางนโยบายทางการเงินที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งสิ่งที่ทำให้นักลงทุนต้องตกตะลึงก็คือท่าทีของ Jerome powell ที่ดูจริงจังและพูดในเชิงที่ว่า ทาง FED จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างก้าวกระโดดไปเรื่อยๆ เพื่อกดอัตราเงินเฟ้อลงมาให้อยู่ในระดับที่ 2-3% ให้ได้พร้อมกำชับว่า เรื่องเงินเฟ้อเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดและไม่สามารถที่จะมองข้ามไปได้
หลังจากจบการแถลงการณ์ ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆถูกเทขายออกมาจำนวนมาก และเม็ดเงินก็ขยับเข้าไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูงที่สุดอย่าง Dollar จนทำให้ DXY (Dollar Index) ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ 109.4
บริษัท Ripio ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติบราซิลที่ให้บริการเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี ได้ปล่อยตัวบัตร Ripio card ที่ได้จับมือกับ VISA ขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าได้ลองใช้งาน
โดยลูกค้าที่ใช้บัตรนี้จะได้รับ Cash Back 5% ในทุกการใช้จ่ายเป็น Bitcoin เมื่อบัตรถูกใช้งานอีกครั้งในรอบต่อไป Bitcoin ก็จะถูกแปลงเป็นค่าเงิน Brazilian Real ($R) แบบเรียลไทม์เพื่อใช้จ่ายซื้อของใน ณ เวลานั้น โดยขั้นตอนการแปลงมูลค่าจะดำเนินการผ่านขั้นตอนของ VISA ทั้งหมด โดยมีข้อจำกัดการใช้งานวงเงินมากสุดอยู่ที่ $R250 ต่อเดือน
ถือเป็นก้าวสำคัญมากๆของการนำ Bitcoin มาใช้งานร่วมกับการใช้จ่ายในชีวิตจริง เราอาจจะมองได้ว่าการร่วมมือครั้งนี้
ของบริษัทคริปโทเคอร์เรนซี กับ บริษัทการเงินอย่าง VISA
อาจจะทำให้เกิด Mass Adoption ในอนาคตได้
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นราคา Cryptocurrency ปรับตัวลดลงอีกครั้งตอบรับกับการแถลงการณ์ของ Jerome Powell ที่ออกมาแสดงท่าที Hawkish ต่อการจัดการเงินเฟ้อโดยคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง คริปโทฯ และแม้กระทั่ง DeFi ได้รับผลกระทบไปตามๆกัน โดยที่ภาพรวมของ DeFi TVL ของทุกเชนลดลงร่วม 11% นำโดยเชน Solana ที่มี TVL ลดลงมากกว่า 24% ที่ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลพวงมาจากการแฮ็ค Slope Wallet ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ส่วนเชน Avalanche ก็มี TVL ที่ลดลงกว่า 16% สอดคล้องกับรายงานของ Cointelegraph เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า จำนวนกระเป๋าเงินในเครือข่าย Avalanche ที่มีการโต้ตอบกับ DApp ลดลง 5% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยในการเปรียบเทียบกับ Ethereum ที่เพิ่มขึ้น 4% และผู้ใช้ Polygon เพิ่มขึ้น 10%
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าภาพรวมของ DeFi จะดูไม่ค่อยสดใสนัก บวกกับข่าวการปิดตัวของ Fei Protocol และการแฮ็คที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูแย่ลงไปอีกบ้าง แต่ก็เราก็ยังเห็นว่าหลายๆ Protocol ก็ยังสามารถเก็บค่า Fee ได้ในจำนวนมากอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Protocol ที่ให้บริการเทรด Perpetual, Options และ Derivatives อย่างเช่น GMX, SNX ที่กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากในขณะนี้ จึงอาจจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนใน DeFi Protocol ประเภทดังกล่าวในช่วงนี้ได้เช่นกัน
ในวันที่ 20 สิงหาคม 2022 Tribe DAO ได้ออกมาประกาศถึง Proposal TIP-121 “Proposal for the future of the Tribe DAO” โดยมีเนื้อหากล่าวถึงการปิดตัวของ Fei Protocol ผู้สร้างเหรียญ FEI Stablecoin
FEI คือเหรียญ Stablecoin ที่รักษามูลค่าด้วยการที่มี Crypto Asset หลายๆอย่างมา Back โดย Asset ที่ Back จะถูกเก็บและบริหารโดย Protocol Control Value (PCV) ซึ่ง FEI เคยมี Marketcap สูงกว่า 2.4 Billion USD
Fei Protocol อยู่ภายใต้ Tribe DAO ซึ่งเป็น DAO ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆในโลก DeFi และในช่วงเดือนธันวาคม 2021 ได้มีการควบรวมกิจการกับ Rari Capital ซึ่งเป็น Lending Protocol โดยสาเหตุหลักของการปิดตัวลงในครั้งนี้มาจากปัญหาการร่วมกันชดใช้หนี้จากการถูก Hack ของ Rari Lending Protocol ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2022 มูลค่าความเสียหายกว่า 28,000 ETH หรือราวๆ 80m USD
จากปัญหาการถูก Hack ในครั้งนั้นส่งผลให้เกิดปัญหาภายในทีม นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการบริหารที่ไม่โปร่งใสของ Tribe DAO ทั้งการ Cancel Proposal แรกที่เสียงส่วนใหญ่โหวตให้ผ่านเพื่อนำเงินที่อยู่ใน PCV Reserve ซึ่งในเวลานั้นมีเงินส่วนเกินกว่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ ไปชดใช้ให้กับผู้เสียหายจากการถูก Hack และยังมีข้อสันนิษฐานว่าทางทีมได้มีซื้อเหรียญ $TRIBE ซึ่งเป็น Governance Token ของ Tribe DAO รวมมูลค่ากว่า 500,000 USD เพื่อโหวตให้ Proposal ที่สองที่มีชื่อว่า “Repay Fuse Bad Debt” ไม่ผ่านเพื่อไม่ต้องชดใช้หนี้ ซึ่งขัดแย้งกับผลโหวตที่ควรจะเป็น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2022 Tribe DAO ได้ออกมาประกาศถึง Proposal TIP-121 โดยมีเนื้อหากล่าวถึงการปิดตัวของ Fei Protocol ซึ่งทางแพลตฟอร์มจะดำเนินการดังนี้
- จ่ายเงินให้กับผู้เสียหายจากเหตุการณ์ Rari Fuse ถูก Hack
- FEI Stablecoin สามารถมา Redeem เป็น 1 DAI ได้ โดยจะเทขาย 22,000 ETH เป็น DAI ผ่าน Balancer เพื่อรองรับการ Redeem ของ User
- PCV Reserve ส่วนที่เหลือจะถูกนำมาแจกจ่ายให้กับคนที่ถือเหรียญ $TRIBE ราว 50,000 stETH
หาก Proposal นี้ผ่านจะทำให้มีแรงเทขาย ETH ทันที 22,000 ETH และอีกกว่า 50,000 stETH ที่จะถูกแจกจ่ายให้กับคนที่ถือเหรียญ $TRIBE จึงทำให้ช่วงที่ผ่านมาราคา ETH ถูกกดดันแต่ในทางกลับกันราคของเหรียญ $TRIBE กลับพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับตลาดเนื่องจาก Valuation ของเหรียญ $TRIBE ที่ discount ลงมาจาก Asset ที่เหลือใน PCV Reserve
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา Mr. Kain Warwick ผู้ก่อทั้ง Synthetix ได้ออกมาเสนอ SIPs (Synthetix Network Improvement Proposals) ให้มีการยกเลิก Inflation และกำหนด Max Supply ของเหรียญ SNX ไว้ที่ 300 ล้านเหรียญ โดยใช้ชื่อ SIPs นี้ว่า “Turn off the Money Printer”
ที่ผ่านมา Synthetix ใช้การสร้างเหรียญขึ้นมาเพิ่มในระบบและนำมาแจกให้ SNX Staker เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนมาใช้งานและ สร้างสภาพคล่องให้แก่ระบบ แต่ในปัจจุบันการ Synthetix มีสภาพคล่องและ Total Value Lock ที่สูงกว่าในอดีตมาก นอกจากนี้รายได้จากค่าธรรมเนียม ได้มีการเพิ่มสุงขึ้นมากทั้งจากการใช้งาน Kwenta.io เพื่อเทรดระหว่าง Synthetic Assets และจาก Atomic Swap ของ 1inch ทำให้ Mr. Kainมองว่า การสร้างเหรียญ SNX ต่อไปเรื่อยๆจะมีแต่การเพิ่มแรงขายให้กับ SNX Staker และส่งผลต่อความมั่นคงของ
อย่างไรก็ตาม SIP อันนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากใน Community เนื่องจาการลด Incentive นั้นเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงและอาจทำให้นักลงทุน จำนวนไม่น้อยถอนทุนออกก็เป็นได้ เนื่องจะในปัจจุบัน APR สำหรับ SNX Staker อยู่ที่ 65.8% ซึ่งมากจากค่าธรรมเนียม 8.9% และมากจาก Inflation ถึง 56.9% ซึ่งคิดเป็นกว่า 86% ของทั้งหมด ทำให้ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ต้อง จับตามองและรอดูข้อสรุปกันต่อไป แต่ในวันที่ประกาศนั้นราคาได้มีการ ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 35% ภายในเวลา 3 วัน
เปรียบเทียบผลตอบแทนที่ได้จากการฝากธนาคารและการฝากพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดกับผลตอบแทนจากการฟาร์ม Stablecoin บน Curve, UniSwap, Compound, Aave, PancakeSwap, Traderjoe และ SpookySwap ซึ่งมี TVL มากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่ได้รับการ Audit และเปิดมานานแล้วจึงมีความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง พบว่าในกลุ่มแรกได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 1.88% ต่อปี ส่วนในกลุ่ม DeFi นั้นมีผลตอบแทนอยู่ที่ 2.88% ซึ่งต่างกันอยู่ที่ประมาณ 1.5 เท่า
เมื่อเทียบกับเดือนก่อนๆจะพบว่าผลตอบแทนจากเงินฝากและพันธบัตรเพิ่มขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่วนผลตอบแทนในการมาฝาก Stablecoin กลับลดลงค่อนข้างมากจาก APR ประมาณ 8% ในช่วงไตรมาสแรกของปี ส่วนหนึ่งมาจากการที่ผลตอบแทนส่วนใหญ่มาจาก Trading Fee & Borrowing แต่เมื่อมีการทำธุรกรรมดังกล่าวลดลงจากสภาวะของตลาด ผลตอบแทนจึงลดลงตาม
สภาวะตลาด NFT ในช่วง 30 วันที่ผ่านมาพบว่าปริมาณการซื้อขายของ NFT ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องด้วยสภาพตลาดที่ยังคงอยู่ในขาลง พร้อมกับราคาของ NFT คอลเลคชั่นที่ส่วนมากมีราคา Floor Price อยู่ในเทรนด์ Sideway-down โดยต่อจากนี้ยังคงคาดว่าสภาะตลาด NFT ยังคงอยู่ในสภาวะตลาดหมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัว
โดยสิ่งที่สามารถทำได้ในตลาดขาลงของ NFT คือการมองหาคอลเลคชั่นที่มีแนวโน้มจะอยู่รอดได้ถึง Cycle ถัดไป ซึ่งปัจจัยที่แนะนำให้พิจารณา NFT ประเภทนี้จะมีอยู่ประมาณ 5 อย่างที่สามารถนำไปดูคอบคู่กับ NFT ได้เสมอ คือ 1. Team 2. Backers(อย่างเช่น Nike ที่ซื้อ RTFKT) 3. Artworks(พิจารณาจากงานศิลปะที่สามารถเป็น Relate ได้ง่ายกับคนกลุ่มในกลุ่มหนึ่ง เช่น CloneX – Asian Culture) 4. Fundings และ 5. Execution(การตัดสินใจและการบริหารของทีม) โดยปัจจัยทั้ง 5 นี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดตามกาลเวลา ซึ่งถึงแม้การนำปัจจัยเหล่านี้มาวิเคราะห์ก็ไม่ได้เป็นการการันตีว่าโปรเจคนั้นๆ จะประสบความสำเร็จ แต่คาดว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนใน NFT ที่มีสิทธิกลับมาได้ใน Cycle ต่อไปได้พอสมควร
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีแพลตฟอร์มใหม่เกิดขึ้นและเป็นนิยมใช้ในผู้ที่ถือ NFT
โดยแพลตฟอร์มที่ว่าก็คือ Benddao ซึ่ง Benddao ก็เป็นแพลตฟอร์มให้ Lending ที่จะให้ผู้ที่ถือ NFT Bluechip สามารถนำ NFT มาเป็นหลักประกันหรือ Collateral ได้ และสามารถเลือกที่จะกู้ Ethereum ได้สูงสุดที่ 40% จาก Floor Price ของคอลเลคชั่นที่นำมาเป็นหลักประกัน
โดยสิ่งที่น่าสนใจสำหรับ Benddao ก็คือมันได้มาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับวงการ NFT เพราะ NFT ในปัจจุบันนั้นถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำมากๆ แต่การมีอยู่ของ Benddao ก็ทำให้ NFT ที่เราถือเกิดสภาพคล่องมากขึ้น มากกว่าการถือ NFT เฉยๆ แต่มุมที่ควรระวังคือการถูก Liquidate ที่คิดจาก Health Factor โดยการนำ (Floor Price x threshold 90%)/(เงินที่กู้ + ดอกเบี้ยกู้)
ซึ่งถ้าเท่ากับ 1 ก็จะมีสิทธิที่จะถูก Liquidate ได้ ซึ่งถ้ามีการ Liquidate เกิดขึ้นก็อาจทำให้ Blue Chip NFT โดนเทได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรระวังคือ Floor Price ของโปรเจคที่อาจจะลดลงได้ทุกเมื่อ และ ดอกเบี้ยกู้ซึ่งอาจจะขึ้นได้เช่นกันถ้าหากมีคนกู้ ETH ไปเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ benddao.xyz
The Sandbox ได้เริ่มต้นกิจกรรม Alpha Season 3 ไปเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2022 เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทุกคนสามารถเข้าไปร่วมสนุกได้โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ LAND อย่างเช่นเคย โดย Alpha SS3 นี้ครอบคลุมระยะเวลาทั้งสิ้น 10 อาทิตย์หรือประมาณ 2 เดือนครึ่งและมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากกว่า 90 กิจกรรม โดยกิจกรรมแบ่งเป็น
- 27 กิจกรรมจาก Brand Partner เช่น Snoop Dogg, The Walking Dead, Deadmau5, Gucci, Warner Music Group, Ubisoft’s Rabbids, BAYC, The Smurfs, Steve Aoki, Care Bears และ Atari เป็นต้น
- 17 กิจกกรมจาก The Sandbox
- 20 กิจกรรมจาก The Sandbox Game Maker Fund (เหล่า Creator ที่ได้รับการสนับสนุนจาก The Sandbox)
- 12 กิจกรรมที่เป็น User-Generated Content (UGC)
- 16 กิจกรรมจาก Game Jams (การแข่งขันสร้างเกมของ The Sandbox)
ในครั้งนี้ The Sandbox ได้ร่วมกับโปรเจกต์ PFP NFT ชื่อดังมากมาย เช่น CoolCats, Clone X, Bored Ape Yacht Club, Moonbirds, World of Womens, People of Crypto เพื่อสร้าง Avatar ในรูปแบบ Voxel เพื่อให้ผู้ที่ถือ NFT เหล่านั้นสามารถใช้ Avatar ที่มีลักษณะเหมือน NFT ของตัวเองมาเดินเล่นและทำกิจกรรมต่าง ๆ ใน The Sandbox ได้ รวมถึงผู้ที่ถือ Avatar ของ Snoop Dogg และ Steve Aoki ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน โดย Avatar ที่ถูกสร้างขึ้นจาก Collection เหล่านี้มีจำนวนทั้งสิ้นถึง 140,000 ตัว
สำหรับเรื่อง Reward นอกจากจะมีการแจก SAND Token ให้กับผู้โชคดีที่สุ่มได้ Alpha Pass จำนวน 500 SAND แล้ว ในครั้งนี้ทาง The Sandbox ได้มีการแจก SAND ให้กับผู้ถือครอง LAND และ NFT ต่าง ๆ ภายใน Ecosystem ของ The Sandbox ด้วย โดยผู้ถือ LAND, Avatar และ NFT อื่น ๆ จะได้ SAND จำนวน 180, 60 และ 30 ตามลำดับ
และใน Alpha Season 3 ได้มีการเพิ่มระบบ Leaderboard ที่เป็นการแข่งขันเก็บแต้มที่มีเงินรางวัลรวมแล้วกว่า 1,500,000 SAND หรือประมาณ 50 ล้านบาท โดยผู้ที่สามารถทำ Quest ยาก ๆ โดยใช้เวลาน้อยที่สุดจะยิ่งได้รับแต้มเยอะ ซึ่งการแข่งขันก็จะมีตลอดกิจกรรม Alpha Season 3 โดยผู้ที่เป็นที่ 1 บน Leaderboard จะได้รับ SAND Token สูงถึง 30,000 SAND หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านบาทเลยทีเดียว
จาก Alpha Season 2 ที่มีกิจกรรมเพียง 35 กิจกรรม แต่ Alpha Season 3 นี้มีกิจกรรมถึง 90 กิจกรรมหรือประมาณ 2.5 เท่า แถมยังหลากหลายกว่ามาก ซึ่งหากใครสนใจหรือสงสัยว่า The Sandbox จะมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวหรือไม่ ในช่วง Alpha Season 3 นี้ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปทดลองเล่นดูและยังมีโอกาสได้รับ SAND ติดไม้ติดมือกลับมาด้วย