ตลาดยังยืนอยู่ได้เพราะกำลังซื้อจากภาพตลาดแรงงาน แต่ตอนนี้ตัวเลขเริ่มชะลอตัวแล้ว การจ้างงานน้อยลง ทำให้คนมีรายได้น้อยลง ส่งผลให้ wage growth drop
Consumption rate มาจาก saving rate ต่ำ เกือบเท่าช่วงปี 2009 ซึ่งตัวเลขนี้บอกว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่ Wealth effect ของนักลงทุนยังดีอยู่ ตลาดหุ้นยังไม่ลงมากนัก ยังดูมีกำลังซื้อ
สถานะการณ์ปัจจุบัน นักวิเคราะห์มองว่า Demand มาจาก saving rate และ wage growth โดยเชื่อว่าตัวเลขนี้จะสามารถประคองเศรษฐกิจสหรัฐไปได้อีก 2 ไตรมาส (GDP ไม่ต่ำลง)
ราคาน้ำมันในตลาดโลกต่ำลง บอกถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจน้อยลง กดดันให้ตลาดกังวลค่อนข้างกังวล
ตัวเลข PMI manufacturing ต่ำกว่า 50 ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่บอกถึงความเสี่ยงที่จะเกิด Recession
นอกจากนี้ อัตราการจ้างงานเริ่มต่ำลง น้อยกว่าช่วงก่อนโควิดเสียอีก ADP nonfarm ตัวเลขออกมาแย่ ทำให้เริ่มเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีแผล
Treasury Yield 2Y ร่วงอย่างเห็นได้ชัด คือนักลงทุน price-in แล้วว่า FED จะลดดอกแน่นอน แต่ Invert yield curve เริ่มกลับมาแตะฝั่ง positive โดยปกติแล้วจะหมายถึงว่าอาจจะมีอะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยดีเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ เป็นโซนที่น่าจับตามองเพราะตัวเลขนี้ค่อนข้างแม่น
ถ้าเกิด recession จริงๆ นักวิเคราะห์คาดว่าตลาดหุ้นอาจจะมี Drawdown มากถึง 30% (เทียบกับ recession ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต) เช่นเดียวกับฝั่งคริปโต
FED เตรียมลดดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนนี้ นักลงทุน Price-in ไปแล้วว่า FED จะลดดอกเบี้ย 0.25% ถ้าเกิด FED ลดดอกเบี้ยเกินกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะมีแผลหรือมีอะไรที่นักลงทุนไม่รู้ ซึ่งจะส่งผลไม่ค่อยดีนักกับ Financial Market
THB/USD นักวิเคราะห์มองว่า บาทเริ่มแข็งเพราะนักลงทุนขยับออกจากหุ้นเทคมายังหุ้น defensive นอกจากนี้นักลงทุนยังขยับออกจากดอลลาร์เพราะเก็งว่า FED จะลดดอกเบี้ย และกองทุนวายุภักตร์เข้ามาเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน และความมั่นใจของนักลงทุนในตัวทักษิณและรัฐบาลิเพื่อไทย