Block Reward คือรางวัลที่คอยจูงใจให้ผู้คนเข้ามาร่วมเป็นผู้ดูแลระบบ ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ใน Consensus Mechanism ของบล็อกเชน ทำให้บล็อกเชนมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้บล็อกเชนมีความกระจายศูนย์ (Decentralize) มากขึ้น เรามาดูบทบาทของ Block Reward ใน Consensus Mechanism กันดีกว่า

ท้าวความกลับไปก่อนว่า Consensus Machanism คือสิ่งที่ผู้ดูแลระบบจะต้องทำร่วมกัน ซึ่งแต่ละบล็อกเชนก็จะมี Consensus Mechanism รูปแบบแตกต่างกันไปตามการออกแบบของเขา ซึ่งเราจะยกตัวอย่าง Consensus หลักๆ 2 ตัวได้แก่ Proof of Work (PoW) และ Proof of Stake (PoS)
Proof of Work
ตัวอย่าง PoW บล็อกเชนที่เรารู้จักกันดีคือ Bitoin!! ซึ่ง Bitcoin จะมีกฎอยู่ว่า หากใครต้องการจะได้ Bitcoin เป็นรางวัลจะต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาทางคณิตศาสตร์ให้ได้ “ใครแก้ได้ก่อนรับ Bitcoin ไปเลย” ทำให้มีคนมากมายเข้ามาแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์นี้ หรือที่เราเรียกกันว่าขุดนั่นเอง ซึ่ง Bitcoin ที่แจกคือ Block Reward ที่ทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจให้คนเข้ามาช่วยดูแลระบบและผู้ดูแลระบบหรือนักขุดที่ว่านี้ใน PoW Consensus คือ GPU หรือ Asics นั่นเอง

จากข้างบนที่แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แล้วได้รับ Bitcoin เป็นรางวัล แต่จริงๆ แล้ว Block Reward ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ Block Subsidy และ Transaction Fees
- Block Subsidy คือเหรียญส่วนที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้เป็นแรงจูงใจสำหรับคนที่เข้ามาเป็นนักขุด
- Transaction Fees คือเหรียญส่วนที่เก็บจากการทำธุรกรรมของผู้คนในระบบ
ถ้าแจก Block Subsidy ไปเรื่อยๆ อย่างนั้นจำนวนเหรียญก็เพิ่มขึ้นไม่มีวันหยุดแล้วมันเหรียญมันจะมีมูลค่าได้ยังไง ? เพื่อป้องกันปัญหานี้ Satoshi Nakamoto ได้คิดไว้แล้วด้วยการให้ Block Reward มีการเพิ่มลดลงครึ่งหนึ่งหรือ Bitcoin Halving ทุก 4 ปี ทำให้จำนวนเหรียญมีการเพิ่มมีจำกัดตามอนุกรมทางคณิตศาสตร์ โดยเริ่มต้น ที่ 50 Bitcoin ต่อ 1 Block ลดลงเป็น 25, 12.5, 6.25 ลดลงเรื่อยๆ จนเป็นเลขทศนิยม และจบลงในปี 2143 หลังจากนั้นก็จะมีแค่ Transaction Fees ที่คอยเป็นเป็นแรงจูงใจให้คนเข้ามาขุด
* Block Reward ใช้ใน PoW บล็อกเชนทุกรูปแบบ แต่ตัวอย่างที่ยกมาเป็น Bitcoin ที่เรารู้จักกันดี
Proof of Stake
แน่นอนว่าตัวอย่างที่ยกมาก็หนีไม่พ้น Etheruem นั่นเอง ซึ่ง Proof of Stake จะมีกฎอยู่ว่า จะให้รางวัลสำหรับคนที่นำเหรียญ Eth มาฝากไว้ ซึ่ง Eth ที่แจกให้จะทำหน้าที่เป็น Block Reward ที่คอยจูงใจให้คนนำเอาเหรียญ Eth มาฝากเพื่อเป็นผู้ดูแลระบบ และผู้ดูแลระบบของ PoS จะเรียกว่า Validator Node

แต่ Ethereum มีการแจก Block Subsidy เรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้เหรียญมีการเฟ้อเรื่อยๆ ทำให้ Ethereum ได้ออก EIP-1559 ที่จะมีการทำลายเหรียญ ETH ทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรม ทำให้มีทั้งการเพิ่มจาก Block Subsidy และการลดจาก Burn Mechanism หากในอนาคต Ethereum เติบโตขึ้นอย่างมากมีและมีการใช้งานเพิ่มมากขึ้นทำให้อัตราการทำลายเหรียญ (Burn Rate) มากกว่า Block Subsidy จะทำให้เกิดเหรียญ ETH มีจำนวนลดน้อยลง (Deflationary) และเพิ่มราคาของเหรียญได้ในอนาคต
* Block Subsidy ใช้ในทุกๆ PoS บล็อกเชนแต่ Burn Mechanism นั่นขึ้นอยู่กับการออกแบบของตัวบล็อกเชน